Pandoro (แพนโดโร)
อัพเดทล่าสุด: 9 ธ.ค. 2025

Pandoro (แพนโดโร) คือขนมปังหวานที่มีต้นกำเนิดจากเมืองเวโรนา ประเทศอิตาลี นิยมรับประทานอย่างแพร่หลายในช่วงเทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่ จุดเด่นสำคัญของขนมชนิดนี้อยู่ที่รูปทรงแปดแฉกคล้ายดาว และสีเหลืองทองที่ได้จากเนย และไข่ มีเนื้อสัมผัสนุ่ม เบา และฟู โดยทั่วไปจะโรยน้ำตาลไอซิ่งกลิ่นวานิลลาปกคลุมบนผิว ซึ่งช่วยเพิ่มรสชาติ และทำให้มีลักษณะคล้ายยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะของเทือกเขาแอลป์
รากเหง้าในธรรมเนียมการทำขนมปังยุคกลางของแคว้นเวเนโต
ประวัติความเป็นมาของ Pandoro มีความเชื่อมโยงกับธรรมเนียมการทำขนมปังหวานในแคว้นเวเนโตมาตั้งแต่ยุคกลาง โดยในสมัยนั้นชาวเวนิสนิยมทำขนมปังหวาน เพื่อเฉลิมฉลองในเทศกาลสำคัญต่าง ๆ ซึ่งขณะนั้นยังคงไม่มีสูตร Pandoro ปรากฏอยู่ แต่อย่างไรก็ตามสูตรขนมในยุคนั้นได้รับการพัฒนาให้เป็น Pandoro ในภายหลังกำเนิด Pandoro ยุคใหม่และสิทธิบัตรโดย Domenico Melegatti
Pandoro ที่เรารู้จักกันในปัจจุบันได้รับการพัฒนาขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 มีบันทึกว่า Domenico Melegatti ช่างทำขนมในเมืองเวโรนา ได้รับสิทธิบัตรสำหรับกระบวนการผลิต Pandoro ในปี ค.ศ. 1894 ซึ่งนับเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันการเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการของขนมชนิดนี้แรงบันดาลใจจาก Nadalin ขนมปังโบราณในศตวรรษที่ 13
นักประวัติศาสตร์อาหารหลายคนเชื่อว่า Pandoro ได้รับแรงบันดาลใจจากขนมที่ชื่อว่า Nadalin ซึ่งเป็นขนมปังหวานดั้งเดิมของเมืองเวโรนาที่มีประวัติย้อนกลับไปถึงปลายศตวรรษที่ 13 โดย Domenico ได้นำสูตรขนมดั้งเดิมนี้มาปรับปรุง โดยเพิ่มไข่ และเนย เพื่อให้เนื้อแป้งนุ่มละมุนยิ่งขึ้นการพัฒนารูปลักษณ์เนียนเรียบและสีทองอร่าม
นอกจากนี้เขายังตัดส่วนที่เป็นเปลือกแข็งออก ทำให้ได้ขนมปังที่มีผิวเนียนเรียบ และมีสีทองอร่าม ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญของ Pandoro ที่เรารู้จักกันในปัจจุบันที่มาของรูปดาวแปดแฉกและชื่อ Pandoro
รูปทรงดาวแปดแฉกที่เป็นเอกลักษณ์ของ Pandoro มีที่มาจากภาพร่างของ Angelo Dall'Oca Bianca จิตรกรชาวเวโรนา และเพื่อนสนิทของ Domenico ตามตำนานที่เล่าต่อ ๆ กันมา ระบุว่า ขณะที่ Domenico กำลังทดลองสร้างพิมพ์รูปดาวต้นแบบอยู่นั้น มีผู้คนเดินผ่านมาเห็นขนมชิ้นแรกที่เพิ่งอบเสร็จ ซึ่งสะท้อนแสงแดดเป็นประกายสีทอง จึงอุทานด้วยความประหลาดใจว่า L'è proprio un pan de oro! หรือ มันเป็นขนมปังทองคำจริง ๆ!ที่มาของชื่อ Pandoro หรือ ขนมปังทองคำ
คำอุทานนี้เองที่เชื่อกันว่าเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดชื่อ Pandoro ซึ่งแปลตรงตัวว่า ขนมปังทองคำส่วนผสมหลักและคุณสมบัติของ Pandoro แบบดั้งเดิม
ส่วนผสมหลักของ Pandoro ได้แก่ ไข่ เนย นม แป้ง น้ำตาล น้ำผึ้ง และกลิ่นวานิลลา เนยที่ใช้ในสูตรดั้งเดิมมักเป็นเนยจืด และกระบวนการอบต้องใช้เวลานาน เพื่อให้เนื้อขนมขึ้นฟูอย่างสมบูรณ์ และมีกลิ่นหอมละมุนกระบวนการทำ Pandoro ที่ต้องใช้เวลายาวนานและความประณีต
การเตรียม Pandoro เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความอดทน ความแม่นยำ และเวลาอย่างมาก โดยทั่วไปจะใช้เวลาทำประมาณ 36 ชั่วโมง ซึ่งรวมถึงช่วงหมักแป้งอย่างน้อย 10 ชั่วโมง และการนวดแป้งซ้ำหลายรอบประมาณ 6-7 ครั้ง เพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสที่นุ่ม ฟู และละเอียดอ่อนธรรมเนียมการเสิร์ฟ Pandoro และวิธีการจัดแต่งแบบต้นคริสต์มาส
ตามประเพณี Pandoro ควรอุ่นเล็กน้อยก่อนเสิร์ฟ เพื่อให้สามารถเพลิดเพลินกับรสชาติ และความหอมที่ละเอียดอ่อนได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้วิธีการเสิร์ฟที่นิยมคือการตัด Pandoro เป็นชั้นตามแนวนอน แล้วนำแต่ละชั้นมาวางซ้อนเหลื่อมกันใหม่ให้มีลักษณะคล้ายต้นคริสต์มาสความแตกต่างระหว่าง Pandoro และ Panettone
Pandoro มักถูกนำไปเปรียบเทียบกับ Panettone ซึ่งเป็นขนมปังหวานอีกชนิดหนึ่งของอิตาลีที่ได้รับความนิยมในช่วงเทศกาลคริสต์มาสเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามความแตกต่างของทั้งสองคือ Pandoro ไม่มีส่วนผสมของผลไม้แห้ง หรือผลไม้แช่อิ่ม ขณะที่ Panettone มักใส่ผลไม้แห้ง เช่น ลูกเกด ผิวมะนาว และผิวส้ม ทำให้รสชาติ และเนื้อสัมผัสของขนมทั้งสองแตกต่างกันอย่างชัดเจนPandoro ในยุคปัจจุบันและความนิยมทั่วโลก
ปัจจุบัน Pandoro กลายเป็นขนมที่เป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลคริสต์มาสในอิตาลี และหลายประเทศในยุโรป แบรนด์ชั้นนำอย่าง Melegatti, Bauli และ Motta ยังคงผลิต Pandoro ตามสูตรดั้งเดิม พร้อมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคสมัยใหม่ เช่น Pandoro ไส้ครีมเลมอน ไส้ช็อกโกแลต หรือน้ำตาลน้อย Tags :
บทความที่เกี่ยวข้อง
ทำความรู้จัก Polvorones (โปลโวโรเนส) ขนมหวานประเภทชอร์ตเบรดที่มีชื่อเสียง และเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศสเปน


