Martini Cocktail (มาร์ตินี่ค็อกเทล)
Martini (มาร์ตินี่) ไม่ได้เป็นเพียงค็อกเทลธรรมดา แต่คือสัญลักษณ์ของความหรูหรา รสนิยม และประวัติศาสตร์อันยาวนานที่ถักทอผ่านกาลเวลา ด้วยส่วนผสมที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังอย่าง Gin และ Vermouth (ไวน์หวานผสมเครื่องเทศ) เสริมด้วยกลิ่นอายสดชื่นจากมะกอก หรือเปลือกเลมอน ทำให้ Martini เป็นเครื่องดื่มที่สามารถปรับแต่งรสชาติได้อย่างอิสระ สะท้อนถึงความประณีต และความเข้าใจในศิลปะแห่งการดื่มของแต่ละบุคคล สำหรับผู้ที่ชื่นชอบคุณภาพ และความพิเศษในชีวิตประจำวัน Martini คือตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามอย่างแท้จริง
ปริศนาแห่งจุดกำเนิด: ทฤษฎีที่ยังคงเป็นข้อถกเถียง
ต้นกำเนิดที่แท้จริงของ Martini ยังคงเป็นประเด็นที่คลุมเครือ และเต็มไปด้วยเรื่องเล่าที่น่าสนใจหลายทฤษฎี ซึ่งแต่ละทฤษฎีต่างก็มีเสน่ห์ และหลักฐานที่ชวนให้ติดตาม
ทฤษฎี Martinez: เรื่องเล่าจากยุคตื่นทอง
หนึ่งในทฤษฎีที่ได้รับการกล่าวขานมากที่สุดคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 1860 ในซานฟรานซิสโก ณ โรงแรม Occidental ตำนานเล่าว่าคนงานเหมืองที่ประสบความสำเร็จในการค้นพบทองคำ ต้องการเฉลิมฉลองชัยชนะนี้อย่างยิ่งใหญ่ จึงได้ขอให้ Jerry Thomas บาร์เทนเดอร์ผู้โด่งดังในยุคนั้น ซึ่งมีชื่อเสียงจากคู่มือ Bartenders' Guide อันเป็นตำนาน ให้รังสรรค์เครื่องดื่มสูตรพิเศษ Jerry Thomas ได้ผสม Gin 1 ส่วน, Vermouth 2 ส่วน และ Bitter เล็กน้อยเข้าด้วยกัน แล้วตั้งชื่อเครื่องดื่มชนิดนี้ว่า Martinez เพื่อเป็นเกียรติแก่เมือง Martinez ซึ่งเป็นเมืองที่แขกของโรงแรมมักจะเดินทางโดยเรือข้ามฟากไป สูตรนี้ได้รับการบันทึก และตีพิมพ์ในคู่มือ Bartenders' Guide ของ Jerry Thomas ในปี 1862 ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาเป็น Martini ค็อกเทลอันเป็นที่รู้จักในปัจจุบัน
ทฤษฎี Martini di Arma di Taggia: ผู้สร้างสรรค์แห่ง Knickerbocker
อีกทฤษฎีหนึ่งชี้ว่า Martini อาจมีต้นกำเนิดในช่วงปี 1911 ที่โรงแรม Knickerbocker ในนิวยอร์ก โดยฝีมือของบาร์เทนเดอร์นามว่า Martini di Arma di Taggia ซึ่งเขาได้รังสรรค์เครื่องดื่มนี้ และเสิร์ฟให้กับมหาเศรษฐีผู้ทรงอิทธิพลอย่าง John D. Rockefeller สูตรของเขาประกอบด้วย Dry London Gin และ Dry Vermouth ในปริมาณที่เท่ากัน พร้อมเติม Bitter เล็กน้อย ทฤษฎีนี้แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของแนวคิดในการสร้างสรรค์ Martini ตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม
ยุคทองของ Martini : เมื่อวัฒนธรรมค็อกเทลเฟื่องฟู
ในช่วงยุคทองของวัฒนธรรมค็อกเทลในอเมริกา Martini ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นเครื่องดื่มที่บ่งบอกถึงรสนิยม และสถานะทางสังคมอย่างชัดเจน ความเฟื่องฟูของค็อกเทลบาร์ และการพบปะสังสรรค์ในยุคนั้น ทำให้ Martini กลายเป็นดาวเด่นที่ไม่อาจมองข้ามได้
ยุคแห่งการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: บททดสอบที่ไม่สั่นคลอนความนิยม
แม้ในช่วงเวลาแห่งการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Prohibition Era) ในสหรัฐอเมริกา ความนิยมของ Martini ก็ไม่เคยลดลง ผู้คนยังคงหาวิธีแอบดื่ม Martini กันอย่างลับ ๆ ตาม "Speakeasy" หรือบาร์ลับต่าง ๆ แต่ด้วยข้อจำกัดด้านวัตถุดิบ ทำให้ค็อกเทลหลายชนิด รวมถึง Martini ต้องได้รับการดัดแปลง และปรับเปลี่ยนสูตร
ในยุคนี้ Martini ได้รับการดัดแปลงให้มีรสชาติ "Dry" มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งแตกต่างจากสูตรดั้งเดิมที่มีรสชาติหวานกว่า การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นผลมาจากความนิยมในการใช้ Gin ในอัตราส่วนที่สูงกว่า Vermouth เนื่องจากในช่วงเวลาที่สุราเป็นสิ่งผิดกฎหมาย Gin ถือเป็นหนึ่งในสุราที่สามารถผลิตขึ้นได้อย่างง่ายดาย และหาได้สะดวกที่สุด ทำให้ Gin กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับค็อกเทลหลากหลายชนิดในยุคนั้น และเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางรสชาติของ Martini ให้ "Dry" มากขึ้นในเวลาต่อมา
Martini สู่สัญลักษณ์แห่งความทันสมัย และชื่อเสียงระดับโลก
เมื่อสิ้นสุดยุคแห่งการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ Martini ก็ได้ทะยานขึ้นสู่การเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัย ความหรูหรา และไลฟ์สไตล์ที่เหนือระดับ มักปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ วรรณกรรม และเป็นเครื่องดื่มคู่ใจของบุคคลที่มีชื่อเสียงมากมาย
Martini ในโลกของวรรณกรรม และคนดัง
นักการเมือง ศิลปิน และคนมีชื่อเสียงจำนวนมาก ต่างก็ตกหลุมรัก Martini ไม่ว่าจะเป็น Humphrey Bogart, Frank Sinatra, Marilyn Monroe, Dorothy Parker และ Ernest Hemingway ต่างก็มีเรื่องราว และความผูกพันกับเครื่องดื่มแก้วนี้ ครั้งหนึ่ง Dorothy Parker นักเขียนนวนิยาย บทละคร และบทภาพยนตร์ชาวอเมริกันผู้มีอารมณ์ขัน เคยกล่าวติดตลกเกี่ยวกับ Martini ไว้ว่า I like to have a Martini, two at the very most. After three, I'm under the table; after four, I'm under my host. ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอิทธิพล และความนิยมของ Martini ในหมู่ชนชั้นนำ และผู้มีอิทธิพลในยุคนั้น
อิทธิพลของ James Bond: Shaken, not stirred
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ความนิยมของ Martini ก็ยิ่งแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางมากขึ้น ด้วยอิทธิพลจากวัฒนธรรมป๊อป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรากฏตัวในภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง Goldfinger ในปี 1964 ที่ซึ่ง Martini ได้กลายมาเป็นเครื่องดื่มประจำตัวของสายลับผู้โด่งดัง James Bond วลีอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาที่ว่า Shaken, not stirred ได้สร้างตำนาน และเพิ่มชื่อเสียงให้กับ Martini ไปทั่วโลก อย่างไรก็ตาม Martini ที่ James Bond ชื่นชอบกลับไม่ใช่สูตรดั้งเดิมที่มีอยู่แล้ว เพราะในภาพยนตร์จะเห็นว่า James Bond ได้ระบุให้บาร์เทนเดอร์ผสม Martini ของเขาด้วย Vodka แทนที่จะเป็น Gin สิ่งนี้เองที่นำไปสู่การถือกำเนิดของค็อกเทลยอดนิยมอีกชนิดหนึ่ง นั่นคือ Vodka Martini
การกลับมาของ Martini และความหลากหลายในปัจจุบัน
ในช่วงปี 1990 ความนิยมของ Martini อาจลดลงไปบ้าง เนื่องจากมีเครื่องดื่มใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมายในตลาด แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Martini ก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในกลุ่มคนหนุ่มสาว รวมถึงผู้ที่หลงใหลในสไตล์ และวัฒนธรรมแบบย้อนยุค (Retro) ที่กำลังกลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง ทำให้ Martini กลับมาผงาดในวงการเครื่องดื่มอีกครั้งอย่างสง่างาม
Martini ในยุคปัจจุบัน: ความหลากหลายที่ไม่สิ้นสุด
ปัจจุบัน Martini ยังคงเป็นหนึ่งในค็อกเทลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ด้วยการดัดแปลงสูตร และวิธีการเสิร์ฟให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อตอบสนองรสนิยมของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน ทำให้ Martini แตกแขนงออกมาเป็นสูตรยอดนิยมมากมาย อาทิ
- Dry Martini: สูตรคลาสสิกที่เน้นปริมาณ Gin สูงกว่า Vermouth ให้รสชาติที่เข้มข้น และซับซ้อน
- Wet Martini: สูตรที่มีรสชาติหวานกว่า ด้วยสัดส่วนของ Vermouth ที่สูงกว่า Gin
- 50-50 Martini: สูตรที่ผสมผสาน Gin และ Vermouth ในสัดส่วนที่เท่ากัน มอบความสมดุลที่ลงตัว
- Perfect Martini: สูตรที่ซับซ้อนขึ้น โดยใช้ทั้ง Dry Vermouth และ Sweet Vermouth ในสัดส่วนที่เท่ากัน ผสมเข้ากับ Gin ให้รสชาติที่กลมกล่อมและมีมิติ
- Extra Dry Martini: มีสัดส่วนของ Vermouth น้อยมาก หรืออาจไม่ใส่ Vermouth เลย เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรสชาติ Gin แบบเพียว ๆ
- Dirty Martini: มีการเติมน้ำมะกอกลงไปด้วยเล็กน้อย ให้รสชาติเค็มเล็กน้อย และความหอมที่เป็นเอกลักษณ์
- Espresso Martini: เป็นสูตรที่ผสมกับกาแฟเอสเพรสโซ ทำให้มีรสชาติเข้มข้น หอมกาแฟ และให้ความสดชื่น เหมาะสำหรับเป็นเครื่องดื่มหลังมื้อค่ำ