แชร์

Gravy (เกรวี่)

อัพเดทล่าสุด: 17 ก.ค. 2025

เมื่อพูดถึงการเพิ่มรสชาติของอาหารจานโปรด น้ำเกรวี่ (Gravy) ถือเป็นอีกหนึ่งส่วนประกอบหลักที่จะช่วยเติมเต็มอาหารของเราให้อร่อยมากยิ่งขึ้น ด้วยรสชาติที่เข้มข้นกลมกล่อม ไม่ว่าจะราดบนเนื้อย่างสไลด์บาง ๆ ราดบนมันฝรั่งบดนุ่ม ๆ หรือราดบนจานไก่ย่างฉ่ำ ๆ น้ำเกรวี่ก็สามารถยกระดับความอร่อยให้มื้ออาหารของเราได้

น้ำเกรวี่เป็นซอสอเนกประสงค์ที่มาในรูปแบบและรสชาติที่หลากหลาย โดยส่วนใหญ่แล้วจะทำมาจากน้ำที่แทรกอยู่ในเนื้อสัตว์หรือผักปรุงสุก ประวัติของน้ำเกรวี่มีมาตั้งแต่อารยธรรมกรีกโบราณ ผู้ปรุงอาหารในยุคแรก ๆ ตระหนักถึงคุณค่าของรสชาติที่หลงเหลืออยู่ในกระบวนการปรุงอาหาร โดยคิดว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะสร้างรสชาติที่ดีให้กับอาหารได้ จึงนำน้ำที่เหลือจากการย่างเนื้อมาปรุงรสต่อ ทำเป็นซอสสำหรับราดลงบนอาหาร

กำเนิดในกรีกและโรมัน: "Jus" และ "Salsa Jusculum"

ในสมัยกรีกโบราณ ซอสรูปแบบนี้จะเรียกกันว่า jus (จูส) ในขณะเดียวกันนั้นกรุงโรมก็มีซอสรูปแบบนี้ด้วยเช่นกัน ชาวกรุงโรมจะเรียกซอสรูปแบบนี้ว่า Sauce of the juice หรือ Salsa jusculum เป็นซอสที่ทำมาจากน้ำของเนื้อย่างผสมไวน์และเครื่องเทศ

ต่อมาอิทธิพลของซอสรูปแบบนี้ได้แพร่กระจายเข้ามาในยุโรปในช่วงยุคกลาง ซึ่งเป็นช่วงที่แนวทางการทำอาหารของยุโรปมีการพัฒนาขึ้น น้ำเกรวี่จึงได้รับการพัฒนาขึ้นมาด้วยเช่นกัน การทำน้ำเกรวี่ในยุคนั้นเนื้อสัตว์มักถูกนำมาทำให้สุกด้วยไฟแบบอ่อน ๆ ในกระทะ เพื่อให้น้ำของเนื้อไหลออกมา จากนั้นน้ำที่ได้จากเนื้อเหล่านี้จะถูกรวมเข้ากับไวน์ สมุนไพร และเครื่องเทศ เพื่อสร้างซอสเข้มข้นที่เรียกว่า Gravé ในภาษาฝรั่งเศส ก่อนจะถูกเปลี่ยนมาเป็น Gravy อย่างที่เรารู้จักในปัจจุบัน

การแพร่หลายของเกรวี่: จากยุโรปสู่ทวีปอเมริกา

ในยุคของการสำรวจและการล่าอาณานิคม น้ำเกรวี่เริ่มมีรูปแบบที่หลากหลายและแพร่กระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของโลก ในอเมริกาได้รับอิทธิพลมาจากยุโรปช่วงศตวรรษที่ 17 โดยน้ำเกรวี่ของอเมริกาที่ได้รับความนิยมเป็นน้ำเกรวี่ไก่งวง (Turkey Gravy) นิยมใช้ในวันขอบคุณพระเจ้า น้ำเกรวี่ชนิดนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก Onion gravy ของอังกฤษ นอกจากนี้ทางตอนใต้ของอเมริกา ยังมีน้ำเกรวี่อีกหนึ่งชนิดที่ทำมาจากแป้งข้าวโพดเรียกว่า Roux based gravy

ในยุคสมัยใหม่น้ำเกรวี่มีการพัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยปรับให้เข้ากับรสนิยมและเทรนด์การทำอาหารที่เปลี่ยนไป พ่อครัวและแม่ครัวต่างทดลองทำน้ำเกรวี่รสชาติใหม่ ๆ โดยผสมผสานวัตถุดิบและเทคนิคต่าง ๆ เข้าไปมากมาย เช่น น้ำสต๊อกผัก น้ำสกัดจากเห็ด หรือแม้แต่น้ำซุปอาหารทะเล ก็นำมาทำซอสเกรวี่ได้เช่นกัน

ศิลปะการทำเกรวี่และความหลากหลายในวัฒนธรรม

การทำน้ำเกรวี่นั้นดูเหมือนจะทำได้ง่าย แต่จริง ๆ แล้วต้องอาศัยเทคนิคการทำอย่างพิถีพิถัน เพื่อความสม่ำเสมอของรสชาติ เริ่มต้นด้วยการนำน้ำที่เหลือหลังจากปรุงเนื้อหรือผัก มารวมเข้ากับน้ำซุปหรือน้ำสต๊อก จากนั้นค่อย ๆ เคี่ยวและเติมแป้ง แป้งข้าวโพด หรือส่วนผสมอื่น ๆ ลงไปทำให้น้ำเกรวี่มีความเข้มข้นและเนื้อสัมผัสนุ่มนวล

ทุกวันนี้น้ำเกรวี่กลายเป็นส่วนผสมที่ได้รับความนิยมในหลายวัฒนธรรม ซึ่งไม่ใช่แค่ในอาหารตะวันตกเท่านั้น แต่ในเอเชียบ้านเราน้ำเกรวี่ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน โดยน้ำเกรวี่ก็ถูกพัฒนาให้มีความหลากหลาย เข้ากับอาหารของแต่ละวัฒนธรรม อาทิเช่น น้ำเกรวี่ที่ผสมกับซอสถั่วเหลือง นิยมใช้ในอาหารจีนประเภทผัดและก๋วยเตี๋ยว หรือน้ำเกรวี่ที่ผสมกับซอสมาซาลา นิยมใช้ในอินเดีย เป็นต้น

Tags :

บทความที่เกี่ยวข้อง
USA Pulses and US Dry Bean Council (USDBC)
ทำความรู้จัก USA Pulses และ U.S. Dry Bean Council (USDBC) สมาคมที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมอุตสาหกรรมถั่วในสหรัฐอเมริกา
California Dairy
ทำความรู้จัก California Dairy ผลิตภัณฑ์นมชั้นนำจากรัฐ California ซึ่งเป็นผู้ผลิตนมรายใหญ่ที่สุดของประเทศสหรัฐอเมริกา
California Raisin
ทำความรู้จัก California Raisin ลูกเกดคุณภาพสูงที่ผลิตในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ