Trifle (ทริฟเฟิล)
อัพเดทล่าสุด: 19 พ.ย. 2025

ลักษณะของ Trifle และองค์ประกอบสำคัญแบบดั้งเดิม
Trifle (ทริฟเฟิล) คือขนมหวานอังกฤษที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยการจัดเรียงส่วนผสมเป็นชั้น ๆ ในภาชนะแก้ว ซึ่งทำให้สามารถมองเห็นความสวยงามของแต่ละชั้นได้อย่างชัดเจน โดยทั่วไปจะประกอบด้วยสปันจ์เค้กที่ชุ่มด้วยเหล้า หรือน้ำผลไม้ ตามด้วยชั้นของเจลลี่ หรือผลไม้ และปิดท้ายด้วยคัสตาร์ด หรือวิปครีมที่อยู่ด้านบน ทำให้เกิดการผสมผสานของเนื้อสัมผัส และรสชาติที่นุ่ม ชุ่มฉ่ำ และสดชื่นประวัติศาสตร์เริ่มต้นในศตวรรษที่ 16
Trifle เป็นขนมหวานที่มีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ ซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 400 ปี โดยมีการกล่าวถึงครั้งแรกในหนังสือทำอาหารชื่อ The Good Huswifes Jewell ในปี ค.ศ. 1585 โดย Thomas Dawsonที่มาของชื่อ Trifle จากภาษาฝรั่งเศสโบราณ
ชื่อของขนมชนิดนี้มีที่มาจากภาษาฝรั่งเศสโบราณคำว่า Trufe หรือ Trufle หมายถึงสิ่งที่ไม่สำคัญ หรือสิ่งที่เล็กน้อย โดยการตั้งชื่อนี้สะท้อนถึงลักษณะดั้งเดิมของขนมชนิดนี้ที่ทำได้ง่าย และไม่ซับซ้อน แม้ว่าในปัจจุบันจะได้รับการพัฒนาไปสู่ขนมหวานที่มีความหรูหรา และซับซ้อนมากยิ่งขึ้นก็ตามความคล้ายคลึงกับขนมหวาน Fool ในยุคแรก
ในช่วงแรกTrifle มีความคล้ายคลึงกับขนมหวานอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Fool ซึ่งเป็นขนมหวานอังกฤษดั้งเดิมที่ทำจากผลไม้บดผสมครีมข้นหวาน นักประวัติศาสตร์อาหารอย่าง Annie Gray ระบุว่าขนมทั้งสองชนิดนี้มีลักษณะใกล้เคียงกันมาก และมักถูกใช้เรียกแทนกันได้สูตร Trifle แบบใหม่ที่ปรากฏในปี ค.ศ. 1751
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ Trifle เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1751 เนื่องจากมีการตีพิมพ์สูตรที่มีลักษณะใกล้เคียงกับรูปแบบที่เราคุ้นเคยในปัจจุบันในตำราอาหารสองเล่มชื่อ The Art of Cookery Made Plain and Easy โดย Hannah Glasse สูตรของเธอระบุให้ใช้ Naples Biscuits, Macaroons และ Ratafia แบ่งเป็นชิ้นแล้วชุบด้วยไวน์เชอร์รี่ จากนั้นราดทับด้วยคัสตาร์ดที่เคี่ยวไว้ และตกแต่งด้วย Syllabub Froth ซึ่งเป็นครีมที่ตีฟูรสหวานสูตรจากตำรา The Whole Duty of a Woman ปีเดียวกัน
ส่วนตำราอาหารอีกเล่มหนึ่งคือ The Whole Duty of a Woman (ไม่ปรากฏชื่อผู้เขียน) ตีพิมพ์ในปีเดียวกัน สูตรในหนังสือเล่มนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยเป็นการใช้ Biscuits ชุบด้วยไวน์ แล้วจัดเรียงเป็นชั้นสลับกับคัสตาร์ด และเคลือบด้วยครีมที่ตีฟูการเพิ่มเยลลี่ในสูตรปี ค.ศ. 1760: จุดเปลี่ยนสำคัญ
อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ของ Trifle คือการเพิ่มเยลลี่เข้าไปในสูตร ซึ่งได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือ The Compleat Confectioner ปี ค.ศ. 1760 โดย Hannah Glasse อีกเล่มหนึ่ง ในสูตรนี้เธอระบุว่าให้ใช้เยลลี่คุณภาพสูงที่ทำจากเท้าลูกวัว โดยเทเยลลี่ลงไปครึ่งถ้วย แล้วเสียบ Biscuits และ Macaroons ลงในเยลลี่ก่อนที่จะแข็งตัว โดยการเพิ่มส่วนประกอบนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มเนื้อสัมผัส ที่น่าสนใจเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ในการยึดชิ้นเค้กให้อยู่ในตำแหน่งได้อย่างมั่นคงอีกด้วยยุควิกตอเรีย: ช่วงเวลาที่ Trifle กลายเป็นขนมหรูหรา
ในศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุควิกตอเรีย Trifle กลายเป็นขนมหวานที่ขาดไม่ได้ในงานเลี้ยง และเทศกาลต่าง ๆ ของชนชั้นสูงในสังคมอังกฤษ โดย Trifle ในยุคนั้นมีการตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง ประดับด้วยผลไม้นานาชาติที่หาได้ยาก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความมั่งคั่ง และฝีมือการทำอาหารของเจ้าของบ้านปลายศตวรรษที่ 19: ยุคทองของ Trifle และสูตรที่หลากหลาย
Annie Gray นักประวัติศาสตร์อาหารกล่าวว่าช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถือเป็น ยุคทองของ Trifle เนื่องจากมีการตีพิมพ์สูตรจำนวนมากจนถึงขั้นน่าสับสน ตัวอย่างเช่นในหนังสือ The Encyclopaedia of Practical Cookery โดย Theodore Francis Garrett ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1891 มีสูตร Trifle ระบุไว้ถึง 13 สูตร ซึ่งรวมถึง Trifle คาวสองสูตร ที่ใช้เนื้อลูกวัว และล็อบสเตอร์เป็นส่วนประกอบหลักชื่อเล่นสุดคลาสสิกของ Trifle และที่มาของชื่อ Tipsy
ตลอดประวัติศาสตร์ Trifle มักจะได้รับชื่อเล่นที่น่ารัก และสนุกสนานหลายชื่อ โดยเฉพาะชื่อที่สื่อถึงการมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เช่น Tipsy Parson (บาทหลวงเมา), Tipsy Hedgehog (เม่นเมา), Tipsy Squire (นายน้อยเมา) และ Tipsy Cake (เค้กเมา) โดยชื่อเล่นเหล่านี้มีที่มาจากการที่สปันจ์เค้กถูกแช่ในไวน์เชอรี่ หรือบรั่นดีจนชุ่ม ทำให้ผู้ที่รับประทานอาจรู้สึกมึนเมาเล็กน้อยเรื่องเล่าขบขันของชื่อ Tipsy Parson
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าขบขันว่าชื่อ Tipsy Parson เกิดขึ้นเนื่องจากบาทหลวงที่มาเยี่ยมบ้านสมาชิกในวันอาทิตย์ถูกชักชวนให้ทาน Trifle จนเผลอละเลยการงดเหล้า เนื่องจากแอลกอฮอล์ในขนมถูกปกปิดไว้ด้วยรสชาติหวาน และครีมที่นุ่มนวลTrifle เดินทางสู่สหรัฐอเมริกาพร้อมผู้อพยพ
ในเวลาต่อมา Trifle ได้แพร่หลายเข้าสู่ทวีปอเมริกาพร้อมกับผู้อพยพชาวอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคใต้ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งขนมหวานชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่เจ้าของไร่ที่ชื่นชอบขนมหวานที่มีความหรูหรา และในภูมิภาคนั้น Trifle ก็มักถูกเรียกในชื่อเล่นว่า Tipsy Cake หรือ Tipsy Parson เช่นเดียวกับในอังกฤษTrifle สำเร็จรูปในยุคใหม่โดย Northern Food และ M&S
ในช่วงศตวรรษที่ 20 บริษัท Northern Food ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการผลิตอาหารสำเร็จรูปในสหราชอาณาจักรให้กับ Marks & Spencer (M&S) ได้ผลิต Trifle พร้อมรับประทานเป็นรายแรกของประเทศขึ้นมา อย่างไรก็ตามกระบวนการผลิตมีความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากต้องจัดวางส่วนผสมเป็นชั้น ๆ อย่างประณีต เพื่อรักษาความสด และป้องกันไม่ให้เกิดการแยกชั้นระหว่างการขนส่ง และการจัดจำหน่ายความสำเร็จของ Trifle ในตลาดยุคใหม่
Lord Haskins ประธานบริษัทในขณะนั้นยอมรับว่า Northern Food ต้องขาดทุนจากการผลิต Trifle อยู่หลายปี แต่ความทุ่มเทดังกล่าวกลับสร้างความประทับใจอย่างยิ่งให้กับ M&S และพิสูจน์แล้วว่าคุ้มค่า เพราะมีรายงานว่าในปัจจุบัน M&S สามารถจำหน่าย Trifle ได้มากถึง 175,000 ชิ้นต่อสัปดาห์Trifle ในศตวรรษที่ 21 และบทบาทในงานระดับชาติ
ในศตวรรษที่ 21 Trifle กลายเป็นขนมหวานที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งถือเป็นขนมหวานยอดนิยมรองจาก Christmas PuddingTrifle ในงานสำคัญของราชวงศ์อังกฤษ
ในปี ค.ศ. 2022 Trifle ได้รับเลือกให้เป็น Platinum Pudding เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 70 ปีแห่งการขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ต่อมาในปี ค.ศ. 2023 ได้มีการสร้าง Coronation Trifleอิทธิพลของ Trifle ต่อขนมหวานในประเทศอื่น
นอกจากอังกฤษ และสหรัฐอเมริกาแล้ว Trifle ยังมีอิทธิพลต่อขนมหวานในประเทศอื่น ๆ เช่น Zuppa Inglese และ Tipsy Lairdส่วนผสมหลักของ Trifle สมัยปัจจุบัน
Trifle ในปัจจุบัน มีส่วนประกอบหลักที่สำคัญ ได้แก่ เค้ก หรือบิสกิต ครีมสดวิธีทำ Trifle แบบดั้งเดิมทีละชั้น
วิธีการทำ Trifle เริ่มต้นด้วยการหั่นเค้ก และตกแต่งด้วยผลไม้ หรืออัลมอนด์ Tags :
บทความที่เกี่ยวข้อง
ทำความรู้จัก Pigs in Blankets (ไส้กรอกห่อเบคอน) หนึ่งในเมนูอาหารที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงเทศกาลคริสต์มาสของสหราชอาณาจักร
ย้อนรอยประวัติศาสตร์ Cranberry Sauce (แครนเบอร์รี่ซอส) เมนูที่แสนสำคัญสำหรับเทศกาลขอบคุณพระเจ้า
ทำความรู้จัก Stuffing (สตัฟฟิง) ส่วนผสมที่นิยมนำไปยัดไส้ไก่งวงก่อนนำไปประกอบอาหาร


