Opus One (โอปุส วัน)
จุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่ไม่มีใครคาดคิด
เมื่อ Robert Mondavi หนึ่งในบุคคลสำคัญของ Napa Valley ได้พบกับ Baron Philippe de Rothschild เจ้าของ Château Mouton Rothschild แห่ง Bordeaux ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ไม่มีใครคาดคิดว่าการพบกันนี้จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของไวน์ที่เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมไวน์ไปตลอดกาล
ทั้งสองมีแนวคิดตรงกันในการหลอมรวมจุดแข็งของไวน์ โลกเก่า และ โลกใหม่ โดยต้องการสร้างไวน์ที่สะท้อนคุณภาพ ประณีต และมีจิตวิญญาณเหนือยุคสมัย
จาก Napamédoc สู่ Opus One ความลงตัวของสองวัฒนธรรม
ในปี 1978 Robert Mondavi ได้รับเชิญไปเยือน Bordeaux โดย Baron Philippe และที่นั่นคือจุดเริ่มต้นของความร่วมมือทางธุรกิจ ทั้งสองตัดสินใจถือหุ้นคนละ 50% และในปี 1979 ได้ประกาศความร่วมมืออย่างเป็นทางการ พร้อมจัดทีมผลิตไวน์รุ่นแรกภายใต้ชื่อชั่วคราวว่า Napamédoc
ชื่อนี้สะท้อนถึงความพยายามในการรวมภูมิภาค Napa Valley กับเขต Médoc ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นดินแดนต้นกำเนิดของไวน์ระดับโลก
การผลิตไวน์ที่ผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและศาสตร์ดั้งเดิม
Lucien Sionneau ผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์จาก Château Mouton Rothschild และ Tim Mondavi ลูกชายของ Robert Mondavi ร่วมกันดูแลการผลิตไวน์วินเทจแรก ซึ่งประกอบด้วย:
- องุ่นพันธุ์ Cabernet Sauvignon เป็นหลัก
- ผสมกับ Merlot, Cabernet Franc, Petit Verdot และ Malbec
- ใช้ถังสแตนเลสในการหมัก 2137 วัน
- บ่มในถังไม้โอ๊คฝรั่งเศส 18 เดือน และบ่มต่อในขวดอีก 18 เดือนก่อนจำหน่าย
ทุกขั้นตอนเต็มไปด้วยความพิถีพิถัน เพื่อสร้างไวน์ที่มี โครงสร้างดี ซับซ้อน และมีศักยภาพในการเก็บรักษาอย่างยาวนาน
การเปิดตัวที่เปลี่ยนมุมมองของโลกต่อไวน์สัญชาติอเมริกัน
ไวน์วินเทจแรกเปิดตัวในปี 1984 ภายใต้ชื่อ Opus One คำในภาษาละตินที่หมายถึง บทเพลงแรก หรือ ผลงานชิ้นแรก ของศิลปิน สะท้อนความมุ่งมั่นที่จะสร้างไวน์ที่สมบูรณ์แบบในทุกมิติ
Opus One กลายเป็น ไวน์สัญชาติอเมริกันรายแรกที่สามารถเข้าสู่ตลาดโลกได้ในฐานะไวน์ระดับหรู โดยเปิดตัวในราคา $50 ต่อขวด ซึ่งในเวลานั้นถือว่า สูงมาก และกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้โลกเริ่มมอง Napa Valley ด้วยสายตาใหม่
มรดกที่ดำรงอยู่ มากกว่าความหรูหรา คือจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์
แม้ Baron Philippe จะเสียชีวิตในปี 1988 แต่ความฝันของเขาไม่ได้จบลง เพราะลูกหลานของทั้งสองครอบครัวยังคงสืบทอดภารกิจในการรักษามาตรฐานไวน์ระดับโลกนี้เอาไว้
Opus One ไม่ใช่แค่ไวน์ แต่คือบทสนทนาอันลึกซึ้งระหว่างสองวัฒนธรรม ที่หลอมรวมกันด้วยความเคารพ ความหลงใหล และเป้าหมายร่วมกัน