นมพาสเจอไรซ์ และ นมยูเอชที
ทำไมนมต้องผ่านการฆ่าเชื้อ?
นมเป็นอาหารที่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นอาหารที่บอบบางและเสียง่าย การฆ่าเชื้อในนมจึงเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาและป้องกันการปนเปื้อนจากจุลินทรีย์ที่เป็นอันตราย โดยปัจจุบันมีวิธีที่ได้รับความนิยมอยู่ 2 แบบ คือ การพาสเจอไรซ์ (Pasteurization) และ การฆ่าเชื้อแบบยูเอชที (UHT) ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งในด้านกระบวนการ รสชาติ คุณค่าสารอาหาร และการจัดเก็บ
พาสเจอไรซ์ นวัตกรรมจากศตวรรษที่ 19 เพื่อคุณภาพที่ใกล้เคียงนมสด
คำว่า "พาสเจอไรซ์" มาจากชื่อของ หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) นักเคมีชาวฝรั่งเศสผู้ค้นพบกระบวนการนี้ในปี ค.ศ. 1864 โดยใช้ความร้อนระดับ 7275°C เป็นเวลา 1520 วินาที เพื่อฆ่าเชื้อโรคในนม จากนั้นจึงทำให้เย็นลงทันที
กระบวนการนี้สามารถทำลายเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยังคง รสชาติใกล้เคียงกับนมสดมากที่สุด และ ไม่เปลี่ยนแปลงคุณค่าทางอาหารมากนัก
อย่างไรก็ตาม นมพาสเจอไรซ์ต้อง เก็บไว้ในตู้เย็นเสมอ และมีอายุเก็บสั้นกว่านมแบบอื่น ๆ โดยทั่วไปสามารถเก็บได้ประมาณ 721 วัน หากแช่เย็นตลอดเวลา
ยูเอชที ทางเลือกของความสะดวก เก็บง่าย ใช้ได้นาน
UHT หรือ Ultra High Temperature เป็นกระบวนการฆ่าเชื้อที่ใช้ความร้อนสูงกว่าพาสเจอไรซ์มาก โดยให้ความร้อนระดับ 135150°C ในเวลาเพียง 25 วินาที แล้วรีบบรรจุในกล่องปลอดเชื้อ เช่น กล่อง Tetra Pak
ข้อดีที่เห็นได้ชัดเจนของนมยูเอชที คือ
- ไม่จำเป็นต้องแช่เย็นก่อนเปิด
- เก็บได้นานถึง 6 เดือน ในอุณหภูมิห้อง
- เหมาะกับการพกพา เดินทาง หรือเก็บไว้เป็นสต็อกที่บ้าน
ข้อควรระวังคือ ด้วยความร้อนที่สูงมาก รสชาติของนมยูเอชทีอาจเปลี่ยนไปจากนมสดเล็กน้อย และอาจสูญเสียวิตามินบางชนิดที่ไวต่อความร้อน เช่น วิตามิน B1 และ B12
เลือกนมแบบไหนดีให้เหมาะกับคุณ?
หากคุณเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับรสชาติ ความสดใหม่ และดื่มนมในปริมาณพอเหมาะ นมพาสเจอไรซ์อาจเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่า
แต่ถ้าคุณต้องการนมที่เก็บได้นาน พกพาสะดวก ไม่ต้องพึ่งตู้เย็นตลอดเวลา นมยูเอชทีคือคำตอบที่ใช่
ไม่ว่าจะเลือกแบบไหน นมทั้งสองประเภทก็ล้วนมีคุณค่าและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน
สามารถหาซื้อนมพาสเจอไรซ์และนมยูเอชทีได้ที่ ริมปิงทุกสาขานะคะ