Fruit Cake (ฟรุตเค้ก)
Fruit Cake (ฟรุตเค้ก) หรือเค้กผลไม้ เป็นขนมอบที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีความพิเศษเฉพาะตัว ด้วยรสชาติเข้มข้นจากผลไม้แห้งและเครื่องเทศนานาชนิด นิยมรับประทานกันทั่วโลก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญต่างๆ เช่น เทศกาลคริสต์มาส ฟรุตเค้กไม่เพียงเป็นขนมอร่อย แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองและความอุดมสมบูรณ์ที่ได้รับการยกย่องจากวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลก วันนี้ Rimping Supermarket จะพาทุกท่านไปสำรวจเรื่องราวอันยาวนานของขนมชนิดนี้กันค่ะ
จุดเริ่มต้นในดินแดนโบราณ: เมโสโปเตเมียและอียิปต์
เรื่องราวของ Fruit Cake มีประวัติย้อนกลับไปในดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ของ เมโสโปเตเมียโบราณ ที่แม่น้ำไทกริสและยูเฟรตีส์บรรจบกัน เมื่อประมาณ 3000 - 539 ปีก่อนคริสตกาล โดย ชาวสุเมเรียน เป็นคนกลุ่มแรกที่ทดลองทำเค้กผลไม้ โดยใช้อินทผลัม มะกอก และถั่วผสมเข้าด้วยกันจนได้เค้กเนื้อแน่นหนึบ
อย่างไรก็ตาม เค้กชนิดนี้ไม่ใช่ขนมธรรมดาๆ แต่เป็นขนมที่ทำขึ้นเพื่อถวายแด่เทพเจ้าผู้ควบคุมแม่น้ำ ฝน และการเก็บเกี่ยว นิยมรับประทานกันในพิธีกรรมทางศาสนา โดยชาวสุเมเรียนเชื่อว่าผลไม้ที่อุดมสมบูรณ์จะนำมาซึ่งพรแก่ชุมชน ช่วยให้ชุมชนเจริญรุ่งเรือง และป้องกันภัยจากความโชคร้ายได้
ต่อมาในยุค อียิปต์โบราณ ชาวอียิปต์ก็ได้พัฒนาเค้กผลไม้ในแบบฉบับของตนเองขึ้นมาโดยใช้น้ำผึ้ง มะกอก และถั่วผสมเข้าด้วยกัน โดยชาวอียิปต์เชื่อว่าส่วนผสมเหล่านี้ ซึ่งเก็บเกี่ยวมาจากแม่น้ำไนล์อันอุดมสมบูรณ์เป็นของขวัญจากเทพเจ้า ด้วยเหตุนี้ เค้กผลไม้ของชาวอียิปต์จึงมักจะถูกถวายแด่เทพเจ้าด้วยเช่นกัน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ และการเริ่มต้นใหม่
อิทธิพลจากกรีกและโรมัน: ขนมแห่งการเฉลิมฉลอง
นอกจากอารยธรรมอียิปต์แล้ว ชาวกรีก ก็มีเค้กผลไม้เป็นของตนเองด้วยเช่นกัน โดยเค้กผลไม้ของชาวกรีกจะเรียกว่า Plakous (พลาคูส) ทำจากข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ น้ำผึ้ง และผลไม้แห้งหลากหลายชนิด เช่น มะกอก และลูกเกด โดยชาวกรีกมักจะเสิร์ฟเค้กผลไม้ในงานเฉลิมฉลองตั้งแต่งานแต่งงานไปจนถึงเทศกาลทางศาสนา เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าผลไม้และน้ำผึ้งเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองและความสุข จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับโอกาสสำคัญๆ ที่เป็นการเริ่มต้นใหม่
การยึดครองกรีกของโรมัน ทำให้เค้กผลไม้ได้รับความนิยมมากขึ้นในกรุงโรม โดย ชาวโรมัน เริ่มพัฒนาเค้กผลไม้ของตนเองขึ้นมาเรียกว่า Satura (ซาตูรา) ทำจากถั่ว ลูกเกด และผลไม้ดองแช่ในไวน์ หรือน้ำผึ้ง ซึ่ง Satura เป็นขนมที่ได้รับความนิยมในช่วงเทศกาล Saturnalia (แซทเทอร์นาเลีย) เป็นเทศกาลที่ชาวโรมันเฉลิมฉลองการสิ้นสุดปีการเกษตรด้วยงานเลี้ยงและความสนุกสนาน
เมื่อจักรวรรดิโรมันขยายตัว ความนิยมของ Satura ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย จนกลายมาเป็นสิ่งสำคัญในการเฉลิมฉลองทั่วทั้งจักรวรรดิ และแม้ว่ากรุงโรมจะล่มสลายในปี ค.ศ. 476 แต่ตำนานของ Satura ก็ยังคงอยู่ และมีอิทธิพลต่อวิวัฒนาการของเค้กผลไม้มาหลายศตวรรษ
ฟรุตเค้กในยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา: หรูหราและหลากหลาย
ใน ยุคกลางของยุโรป เค้กผลไม้ก็ได้รับการพัฒนาให้มีรูปแบบใหม่ที่ใกล้เคียงกับปัจจุบันมากขึ้น เนื่องจากในศตวรรษที่ 11 สงครามครูเสดได้เปิดเส้นทางการค้า โดยนำเครื่องเทศจากตะวันออก เช่น อบเชย ลูกจันทน์เทศ และกานพลู รวมถึงผลไม้แห้งจำนวนมากเข้ามาในยุโรป แต่ทั้งนี้ ส่วนผสมเหล่านี้หายากและมีราคาแพง ดังนั้น เค้กผลไม้ในยุคนี้จึงมักจะสงวนไว้สำหรับชนชั้นสูง
ในช่วง ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา วัฒนธรรมการทำเค้กผลไม้ก็ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในอิตาลี โดยในอิตาลีจะมีเค้กผลไม้ที่เรียกว่า Panforte (ปานฟอร์เต) ซึ่งเป็นเค้กผลไม้เนื้อแน่นเคี้ยวหนึบ ทำมาจากน้ำผึ้ง ถั่ว เช่น อัลมอนด์ และเฮเซลนัท และเครื่องเทศหลากหลายชนิด เช่น พริกไทยดำ อบเชย และกานพลู นอกจากนี้ยังมีผลไม้แห้ง เช่น มะกอก อินทผลัม และลูกเกดรวมอยู่ด้วย ซึ่งในอิตาลี Panforte ไม่เพียงแต่เป็นของว่างในช่วงเทศกาลเท่านั้น แต่ยังเป็นของขวัญอันมีค่าที่มักจะแลกเปลี่ยนกันในช่วงเทศกาลคริสต์มาสอีกด้วย
ยุควิกตอเรียและฟรุตเค้กในปัจจุบัน: สัญลักษณ์แห่งความยั่งยืน
ใน อังกฤษ เค้กผลไม้ได้รับความนิยมสูงสุดใน ยุควิกตอเรีย โดยว่ากันว่างานแต่งงาน และงานเฉลิมฉลองวันหยุดจะไม่สมบูรณ์หากไม่มีเค้กผลไม้เป็นส่วนประกอบหลัก โดยเค้กผลไม้ของอังกฤษมักถูกแช่ในบรั่นดีหรือรัม ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่เพียงแต่ทำให้เค้กมีรสชาติดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เค้กเก็บรักษาไว้ได้นานอีกด้วย
สมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย เองก็ทรงช่วยเผยแพร่ขนมหวานชนิดนี้ให้เป็นที่นิยม โดยมีเรื่องเล่าว่าพระองค์จะเก็บเค้กผลไม้ในวันเกิดไว้เป็นเวลาหนึ่งปี เพื่อเป็นการพิสูจน์ถึงความอดทนอดกลั้นของพระองค์เอง และในช่วงเวลานี้ เค้กผลไม้ก็ยังกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมในงานแต่งงานของราชวงศ์ ซึ่งเป็นประเพณีที่ยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบันอีกด้วย
ปัจจุบันเค้กผลไม้ได้รับความนิยมในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก ซึ่งแต่ละวัฒนธรรมก็ได้พัฒนาสูตรของตนเองขึ้นมา และในวัฒนธรรมต่างๆ เค้กผลไม้ก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลอง โดยเฉพาะในช่วงคริสต์มาส และงานแต่งงา