แชร์

Sally Lunn Bun (แซล-ลี่ ลัน บัน)

ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1680 ผู้ลี้ภัยชาว อูเกอโนต์ (Huguenot) ชื่อ Solange Luyon (โซลังจ์ ลูยง) ได้หลบหนีจากฝรั่งเศสมาอาศัยอยู่ที่เมือง บาธ (Bath) ประเทศอังกฤษ โดยระหว่างที่ลี้ภัย เธอก็ได้เข้าไปทำงานที่ร้านเบเกอรี่แห่งหนึ่งชื่อว่า Lilliput Alley (ลิลลิพุต แอลลีย์) แล้วคิดค้นขนมปังทรงกลมที่ด้านนอกหนา ด้านในนุ่มคล้ายกับ ขนมปังบริยอช (Brioche) ของฝรั่งเศสที่เธอคุ้นเคยก่อนจะหนีมา วันนี้ Rimping Supermarket จะพาคุณไปเจาะลึกเรื่องราวของขนมปังตำนานจานนี้กันค่ะ

กำเนิด Sally Lunn Bun: จากผู้ลี้ภัยสู่ความนิยมท้องถิ่น

ในช่วงเริ่มแรก โซลังจ์ได้นำขนมปังไปเดินเร่ขายตามตรอกซอกซอยรอบๆ มหาวิหารบาธ (Bath Abbey) จนได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่คนท้องถิ่น เนื่องจากขนมปังถูกทำมาให้ทานคู่กับอาหารที่หลากหลายทั้งคาวและหวาน ไม่ว่าจะเป็นการทากับเนย แยม หรือทานคู่กับเนื้อสัตว์และผักต่างๆ แต่ทั้งนี้ในขณะนั้นขนมปังรูปแบบนี้ยังไม่มีชื่อเรียก จนกระทั่งเพื่อนร่วมงานของเธอตั้งชื่อให้เธอใหม่ว่า Sally Lunn (แซลลี ลันน์) เนื่องจากพวกเขาไม่คุ้นเคยกับการออกเสียงภาษาฝรั่งเศส ทำให้ต่อมาขนมปังชนิดนี้ถูกเรียกตามชื่อของเธอจนกลายมาเป็น Sally Lunn Bun (แซลลี ลันน์ บัน) ในที่สุด

ความรุ่งเรืองและเอกลักษณ์เฉพาะตัว

เวลาไม่นาน ความสามารถในการทำขนมของ Sally Lunn ก็ได้รับความสนใจอย่างรวดเร็วในกลุ่มชนชั้นสูงในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ร้านเบเกอรี่ที่เธอทำงานที่ North Parade Passage (นอร์ท พาเหรด พาซเซจ) ในเมืองบาธ (ปัจจุบันคือ Sally Lunn Eating House ซึ่งยังคงเป็นร้านอาหารและพิพิธภัณฑ์ที่โด่งดัง) กลายเป็นสถานที่รวมตัวของคนในวงสังคมและบุคคลสำคัญที่ต้องการลิ้มรสขนมปังแสนอร่อยนี้

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ขนมปังของ Sally Lunn มีความแตกต่างจากขนมปังชนิดอื่นๆ ก็คือ เนื้อสัมผัสและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ โดยเนื้อจะบางเบา นุ่มนวล และมีรสชาติหวานเล็กน้อย เปลือกขนมปังด้านนอกจะถูกทาด้วยเนยจนมีสีเหลืองทองน่ารับประทาน ส่วนวิธีการเสิร์ฟแบบดั้งเดิมคือจะหั่นขนมปังเป็นชิ้นตามแนวนอน จากนั้นทาด้วยเนยหรือแยม เพื่อเพิ่มรสชาติที่น่ารับประทานมากยิ่งขึ้น

ความลับและวิวัฒนาการในปัจจุบัน

ทุกวันนี้ ขนมปังสูตรดั้งเดิมของ Sally Lunn ยังคงเป็น ความลับภายในครอบครัว ที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดการดัดแปลงที่หลากหลายทั่วสหราชอาณาจักร โดยแต่ละวัฒนธรรมก็ผสมผสานรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองลงไป:

  • ในบางพื้นที่: มีการเสริมส่วนผสมเพิ่มเติม เช่น ลูกเกด หรือ ผลไม้หวาน เพื่อเพิ่มความหวานและเนื้อสัมผัส
  • ในขณะที่บางพื้นที่: เสิร์ฟพร้อมกับ Clotted cream (คล็อตเต็ด ครีม) ครีมข้นของอังกฤษ และแยม ซึ่งเป็นสไตล์ที่คล้ายกับ Scone
  • หรือแม้แต่อาหารคาว: อย่าง แซลมอนรมควัน หรือ Eggs Benedict (ไข่เบเนดิกต์) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายในการนำไปรับประทาน
นอกจากในอังกฤษแล้ว ความนิยมของขนมปัง Sally Lunn ยังแพร่ขยายไปไกลถึง สหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับการเผยแพร่โดยอาณานิคมของอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 18 ในสหรัฐอเมริกาก็มีการดัดแปลงสูตรที่หลากหลายเช่นกัน ตั้งแต่รูปแบบที่เพิ่ม แป้งข้าวโพด ครีมเปรี้ยว หรือนมบัตเตอร์มิลค์ ลงไป นอกจากนี้ในสหรัฐอเมริกา ขนมปัง Sally Lunn ยังกลายเป็นที่รู้จักในชื่อ Washington's breakfast bread (ขนมปังมื้อเช้าของวอชิงตัน) เพราะ จอร์จ วอชิงตัน (George Washington) ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกาชื่นชอบมาก

ปัจจุบัน ขนมปัง Sally Lunn Bun ยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนเมืองบาธ เพื่อลิ้มรสขนมปังสูตรดั้งเดิม พร้อมกับจิบชาภายใต้บรรยากาศร้านสุดคลาสสิกที่ถูกออกแบบมาอย่างสวยงาม เป็นการสัมผัสประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์และรสชาติอันเป็นตำนานที่ยังคงมีชีวิตอยู่ค่ะ
Tags :

บทความที่เกี่ยวข้อง
Fish & Chips (ฟิช แอนด์ ชิปส์)
Fish & Chips (ฟิช แอนด์ ชิปส์) อาหารสุดเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่หยั่งรากฝังลึก จนกลายมาเป็นอาหารประจำชาติของประเทศอังกฤษ
hepherds and Cottage Pie (เชปเพิร์ดส์ และคอตเทจพาย)
ชวนรู้จัก Shepherds and Cottage Pie (เชปเพิร์ดส์ และคอตเทจพาย) : จากอาหารธรรมดาของคนเลี้ยงแกะ สู่การเป็นอาหารสุดหรูของผู้ดีอังกฤษ
น้ำมันหมู vs. น้ำมันพืช
น้ำมันหมู vs. น้ำมันพืช : ไขข้อถกเถียงและทางเลือกเพื่อสุขภาพ
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ