Danish (เดนิช)

ในโลกของขนมอบ มีขนมเพียงไม่กี่ชนิดที่สามารถผสานประวัติศาสตร์อันยาวนานเข้ากับเสน่ห์อันน่าหลงใหลในวัฒนธรรมสมัยนิยมได้อย่างลงตัว และหนึ่งในนั้นคือ "เดนิช" (Danish) หรือที่ชาวเดนมาร์กรู้จักกันในชื่อ "Wienerbrød" ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงขนมปังอบแสนอร่อยเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของประเพณีการทำขนมที่เดินทางข้ามผ่านกาลเวลา และโด่งดังไปทั่วโลกจากการปรากฏตัวอันน่าจดจำในภาพยนตร์คลาสสิกอย่าง Breakfast at Tiffany's

จุดกำเนิด: จากการประท้วงของคนทำขนมปัง สู่เสน่ห์ของ Wienerbrød ในเดนมาร์ก

เรื่องราวของขนมเดนิชมีต้นกำเนิดย้อนไปถึงต้นศตวรรษที่ 19 เชื่อกันว่าขนมยอดนิยมนี้ได้รับการแนะนำให้รู้จักในเดนมาร์ก โดยคนทำขนมปังชาวออสเตรียที่นำทักษะและเทคนิคการทำขนมอบแบบชั้น (laminated dough) อันเป็นเอกลักษณ์ของตนเข้ามาเผยแพร่ในช่วงที่เกิดการหยุดงานประท้วงครั้งใหญ่ในหมู่คนงานทำเบเกอรี่ในเดนมาร์กเมื่อปี ค.ศ. 1850

โดยการหยุดงานในครั้งนี้ ทำให้เจ้าของร้านเบเกอรี่รายหนึ่งจำเป็นต้องจ้างคนงานจากต่างประเทศมาทำงานแทนคนงานที่ไปประท้วง ซึ่งคนงานที่เจ้าของร้านเบเกอรี่ดังกล่าวจ้างมานั้นเป็นชาวออสเตรีย และคนงานรายนี้ได้นำวัฒนธรรมการอบและสูตรการทำขนมใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนมปังอบแบบเวียนนา (Viennese bread) ที่มีลักษณะเป็นแป้งพายชั้น (puff pastry) เข้ามาเผยแพร่และทำขนมเดนิชออกมาจำหน่าย จนขนมชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและแพร่หลายในเดนมาร์กในเวลาต่อมา

หลังจากการประท้วงสิ้นสุดลง ช่างทำขนมปังชาวเดนมาร์กก็รับเอาสูตรและเทคนิคการทำขนมอบแบบออสเตรียมาสร้างสรรค์ต่อ โดยปรับให้เข้ากับความชอบและวัฒนธรรมการบริโภคของเดนมาร์กมากขึ้น ด้วยการเพิ่มปริมาณไข่และไขมัน (เนย) ลงไปในแป้ง ซึ่งทำให้ขนมมีเนื้อสัมผัสที่รุ่มรวย หอมเนย และมีความนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น จนกลายมาเป็นเดนิช หรือ ขนมอบเดนมาร์กที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน ด้วยลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากขนมปังเวียนนาต้นตำรับ

การเดินทางข้ามมหาสมุทร: เดนิชในสหรัฐอเมริกาและการเผยแพร่สู่โลกตะวันตก

ด้วยรสชาติที่อร่อยกลมกล่อมและเนื้อสัมผัสที่ละเอียดอ่อนของแป้งที่ซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ซึ่งเกิดจากการรีดแป้งสลับกับเนยหลายครั้ง ขนมเดนิชจึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วนอกพรมแดนของเดนมาร์ก ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ผู้อพยพชาวเดนมาร์กจำนวนมากที่เดินทางไปตั้งถิ่นฐานในสหรัฐอเมริกา ได้นำสูตรขนมเดนิชที่พวกเขาชื่นชอบติดตัวไปด้วยและเผยแพร่ในชุมชนของพวกเขาตามเมืองใหญ่ ๆ จนกลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว ร้านเบเกอรี่หลายแห่งในอเมริกาเริ่มทำขนมแสนอร่อยนี้จำหน่ายกันมากขึ้น ทำให้เดนิชกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาหารเช้าและของว่างยอดนิยมในครัวเรือนชาวอเมริกัน และค่อย ๆ แพร่หลายไปทั่วโลก

เดนิชกับ Hollywood: สัญลักษณ์แห่งความหรูหราใน Breakfast at Tiffany's

ด้วยความนิยมที่เพิ่มมากขึ้น ในปี 1961 ขนมชนิดนี้จึงไปปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ชื่อดังระดับตำนานเรื่อง Breakfast at Tiffany's ซึ่งนำแสดงโดย Audrey Hepburn และกลายเป็นภาพจำที่โด่งดังไปทั่วโลก ขนมเดนิชมีบทบาทสำคัญในฉากเปิดของภาพยนตร์ โดยเป็นเหมือนภาพตัวแทนของความผ่อนคลายและความหรูหราแบบที่ไม่ต้องปรุงแต่ง เหมือนกับตัวละครของ Holly Golightly สาวสังคมผู้ลึกลับและมีสไตล์ ซึ่งในฉากอันเป็นสัญลักษณ์ เราจะเห็นเธอในชุดราตรีหรูหรา พร้อมถือกาแฟและขนมเดนิชทานอย่างผ่อนคลายขณะเดินซื้อของนอกร้าน Tiffany & Co. ในยามเช้าตรู่ที่ว่างเปล่าของมหานครนิวยอร์ก

ใน Breakfast at Tiffany's ขนมเดนิชไม่เพียงแต่เย้ายวนความรู้สึกด้วยภาพที่น่ารับประทาน แต่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ของการแสวงหาวิถีชีวิตที่ทะเยอทะยานและเป็นอิสระของ Holly Golightly ซึ่งการปรากฏภาพขนมเดนิชที่น่ารับประทานในภาพยนตร์ได้เพิ่มความสง่างามและความซับซ้อนอีกขั้นให้กับขนมอันเป็นที่รักของคนทั่วโลก ด้วยความนิยมที่ยาวนานและการยอมรับในระดับโลก ขนมเดนิชจึงกลายเป็นส่วนสำคัญของประวัติศาสตร์การทำอาหารของหลายประเทศและเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกับความสง่างามและความคลาสสิกไปในที่สุด

เดนิชในปัจจุบัน: หลากหลายรูปทรง รสชาติ และการครองใจคนทั่วโลก

ปัจจุบันขนมเดนิชกลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก มีจำหน่ายในรูปทรง รสชาติ และไส้ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นไส้ผลไม้สด แยม ครีมชีส ถั่ว ช็อกโกแลต หรือแม้กระทั่งการโรยหน้าด้วยน้ำตาลไอซิ่งและกลาส (glaze) ซึ่งไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนขนมชนิดนี้ยังคงดึงดูดต่อมรับรสของผู้คนทั่วโลกเสมอมา ด้วยความหอมมันของเนย เนื้อสัมผัสที่กรอบนอกนุ่มใน และความหวานที่พอดี ทำให้เดนิชยังคงเป็นขนมอบคลาสสิกที่ครองใจใครหลายคน และเป็นเครื่องยืนยันถึงการเดินทางอันน่าทึ่งของขนมชิ้นเล็ก ๆ จากร้านเบเกอรี่แห่งหนึ่งในเดนมาร์ก สู่เวทีระดับโลกและกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการกินที่สำคัญ