Katsuobushi (คัตสึโอะบุชิ)
Katsuobushi (คัตสึโอะบุชิ) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ปลาโอแห้ง เป็นวัตถุดิบสำคัญที่ใช้ปรุงรสอาหารญี่ปุ่นมานานหลายศตวรรษ ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ได้กับอาหารหลายประเภท ชาวญี่ปุ่นจะนิยมใช้โรยหน้าอาหาร เพื่อเพิ่มรสชาติ และกลิ่นหอม รวมถึงใช้เพิ่มความกลมกล่อมให้กับน้ำซุปต่างๆ ด้วย วันนี้ Rimping Supermarket จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับส่วนผสมลับที่สร้างความอร่อยให้กับอาหารญี่ปุ่นหลากหลายเมนูค่ะ
ต้นกำเนิดและวิวัฒนาการ: จากการถนอมอาหารสู่ศิลปะ (สมัยเอโดะ)
ต้นกำเนิดของ Katsuobushi มีประวัติย้อนกลับไปใน สมัยเอโดะในญี่ปุ่น (ค.ศ. 16031868) เชื่อกันว่าเทคนิคการทำ Katsuobushi ได้รับการพัฒนาขึ้นในพื้นที่ชายฝั่งทะเลของญี่ปุ่น โดยชาวประมงจะจับ ปลาทูน่าท้องแถบ (Skipjack Tuna) ที่มีอยู่จำนวนมากมาแปรรูปให้แห้ง เพื่อป้องกันการเน่าเสีย
เมื่อเวลาผ่านไปในช่วง ปลายศตวรรษที่ 17 ชาวประมงชื่อ คาโดยะ จินทาโร (Kadoya Jintaro) ก็ค้นพบเทคนิคการรมควันปลา โดยเทคนิคนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นรากฐานสำคัญในการผลิต Katsuobushi สมัยใหม่ ชาวประมงจะทำการรมควันปลาแล้วตามด้วยการตากแดด ซึ่งเทคนิคนี้นอกจากช่วยรักษาปลาให้แห้งมากขึ้นแล้ว ยังช่วยเพิ่มรสชาติใหม่ของเนื้อปลาผ่านกระบวนการรมควันอีกด้วย
ศิลปะแห่งการทำ Katsuobushi: Honkarebushi และความพิเศษ
กระบวนการทำ Katsuobushi เป็นงานฝีมือที่ต้องใช้ความพิถีพิถัน โดยชาวประมงจะนำปลาที่จับได้สดๆ มาแล่เป็นชิ้นขนาดพอดีคำ แล้วรมควันด้วยไม้โอ๊คหรือไม้เชอร์รี่ เมื่อปลาเริ่มแห้งสนิทแล้วจะนำไปหมัก และตากแห้งแล้วบ่มซ้ำหลายครั้งเป็นเวลาหลายเดือน เพื่อให้ปลามีรสชาติเข้มข้นและอูมามิ
ต่อมาใน ศตวรรษที่ 18 การทำ Katsuobushi ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นอีกขั้น โดยใช้วิธีการทำให้แห้งแบบ เทบิยามะ (手火山式, Tebiyama-style) ซึ่งกระบวนนี้จะต้องใช้ทักษะและความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก เพื่อผลิต Katsuobushi เกรดสูงที่สุด หรือที่เรียกว่า ฮงคาเรบุชิ (Honkarebushi) โดยเทคนิคนี้จะต้องนำปลามารมควันทำให้แห้ง 4-5 ครั้ง และเคลือบด้วยเชื้อรา Aspergillus glaucus (โคจิราที่ใช้หมักเหล้าสาเก) ในระหว่างการตากแดด ซึ่งการทำให้แห้งด้วยเทคนิคนี้จะทำให้ปลามีกลิ่นหอมและมีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์มากขึ้น เมื่อนำไปทำซุปก็จะมีสีใสและรสชาตินุ่มนวลกลมกล่อมมากขึ้นกว่าเดิม
จากแหล่งโปรตีนสู่รากฐานอาหารญี่ปุ่น และมรดกโลก
ในอดีต Katsuobushi เป็นแหล่งโปรตีนหลักในระหว่างการเดินทางในทะเลที่ยาวไกลและฤดูหนาวที่รุนแรง เพราะมีอายุการเก็บรักษาที่ยาวนาน แต่เนื่องจากเทคนิคการทำอาหารมีความก้าวหน้า Katsuobushi จึงพัฒนาไปไกลกว่าบทบาทดั้งเดิม กลายมาเป็นเครื่องปรุงรสหลักที่เป็นรากฐานสำคัญของอาหารญี่ปุ่นหลากหลายเมนู
การใช้ Katsuobushi ที่โดดเด่นที่สุดอย่างหนึ่งคือใช้ทำ ดาชิ (Dashi) น้ำสต๊อกพื้นฐานของอาหารญี่ปุ่นนับไม่ถ้วน เมื่อโรยลงไปในน้ำร้อน Katsuobushi จะส่งกลิ่นหอมออกมาพร้อมกับรสชาติที่เข้มข้นกลมกล่อม โดยดาชิสามารถนำไปทำอาหารได้หลากหลาย ตั้งแต่ซุปราเม็ง ซุปมิโซะ และอื่นๆ อีกมากมาย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Katsuobushi ได้รับความนิยมนอกเหนือจากประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากความสนใจในอาหารญี่ปุ่นที่เพิ่มมากขึ้นทั่วโลก เชฟและผู้ชื่นชอบอาหารต่างยอมรับ Katsuobushi เนื่องจากมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และสามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายในการทำอาหาร
แม้จะดูทันสมัยแต่การผลิต Katsuobushi ยังคงสืบทอดตามประเพณี ผู้ผลิตหลายรายยังคงยึดมั่นในวิธีการอันเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่การคัดเลือกปลาอย่างพิถีพิถันไปจนถึงศิลปะการรมควันและการหมัก
การผลิต Katsuobushi ได้รับการยอมรับจาก UNESCO โดยเพิ่ม วะโชกุ (Washoku) วัฒนธรรมการปรุงอาหารตามแบบดั้งเดิมของประเทศญี่ปุ่นไว้ในรายการมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ในปี 2013 โดยการกำหนดนี้ไม่เพียงเน้นย้ำถึงความสำคัญของ Katsuobushi ในอาหารญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังเน้นย้ำถึงบทบาทของ Katsuobushi ในฐานะทูตวัฒนธรรมของญี่ปุ่นในเวทีระดับโลกด้วย