แชร์

India Pale Ale (IPA) และความแตกต่างของแต่ละประเภท

ชื่อ India Pale Ale (IPA) อาจทำให้ใครหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเบียร์ชนิดนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย แต่ในความเป็นจริงแล้ว India Pale Ale (IPA) ถือกำเนิดขึ้นในประเทศอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 18 โดยเรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อจักรวรรดิอังกฤษขยายอำนาจไปยังอินเดีย และมีความต้องการส่งเบียร์จากอังกฤษไปให้ทหารและพลเมืองอังกฤษที่ประจำการอยู่ในอินเดียได้ดื่มกิน

อย่างไรก็ตาม การขนส่งเบียร์ทางเรือจากอังกฤษไปยังอินเดียนั้นแสนยาวนาน ต้องใช้เวลาหลายเดือน และต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ผันผวน ตั้งแต่ความหนาวเย็นในช่องแคบอังกฤษ ไปจนถึงความร้อนอบอ้าวและความชื้นในเขตร้อน สิ่งนี้ส่งผลทำให้เบียร์ที่ผลิตในเวลานั้น มักจะเน่าเสียระหว่างทาง หรือไม่ก็รสชาติเปลี่ยนไปจากเดิมมาก

จุดกำเนิดที่ไม่คาดฝัน: ฮอปส์ตัวช่วยในตำนาน

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ George Hodgson เจ้าของโรงเบียร์ Bow Brewery ในอังกฤษ จึงเพิ่มปริมาณฮอปส์ลงไปในเบียร์ Pale Ale (เบียร์ที่นิยมในอังกฤษยุคนั้น) มากกว่าปกติ โดยเขาเชื่อว่าฮอปส์เป็นสารกันบูดตามธรรมชาติ ช่วยยืดอายุเบียร์ ทำให้สามารถทนต่อการเดินทางไกลได้โดยไม่เสียรสชาติ

การที่ George Hodgson เติมฮอปส์ลงไปในปริมาณที่มากกว่าปกติ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสิ่งนี้จะเป็นต้นกำเนิดของเบียร์ชนิดใหม่นั่นก็คือ India Pale Ale (IPA) ทั้งนี้เนื่องจากในระหว่างการเดินทาง ฮอปส์จำนวนมากเหล่านั้นได้ผ่านกระบวนการหมักบ่มเป็นระยะเวลานาน ภายใต้สภาพอากาศที่ผันผวน สิ่งนี้ส่งผลให้เบียร์มีปริมาณแอลกอฮอล์ที่สูงขึ้น รสชาติเปลี่ยนแปลงไป มีความขมแต่ยังคงให้ความรู้สึกสดชื่น และเบียร์ก็ยังคงมีคุณภาพดีไม่เน่าเสีย นี่จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการกำเนิดเบียร์ India Pale Ale (IPA)

เมื่อเบียร์เหล่านี้ถูกส่งไปถึงอินเดีย ก็ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ทหารและพลเมืองอังกฤษที่ประจำการอยู่ที่นั่น หลังจากนั้นเป็นต้นมาจึงเริ่มมีโรงเบียร์หลายแห่งหันมาผลิต India Pale Ale (IPA) กันมากขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการขนส่งไปยังอินเดีย

ในช่วงเริ่มแรกนี้ เบียร์ชนิดนี้ยังไม่ได้ถูกเรียกว่า India Pale Ale (IPA) อย่างเป็นทางการ แต่ในบันทึกและโฆษณาในยุคนั้นก็เริ่มมีการใช้คำว่า Pale Ale for India หรือ East India Pale Ale และท้ายที่สุดก็ย่อมาเหลือเพียง India Pale Ale (IPA) ในเวลาต่อมา

ยุคฟื้นฟู IPA และ Craft Beer Movement

หลังจากการรุ่งเรืองในยุคแรก India Pale Ale (IPA) ก็เริ่มเสื่อมความนิยมลงเมื่อการขนส่งและเทคโนโลยีการผลิตเบียร์ก้าวหน้าขึ้น ทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคุณสมบัติการถนอมของฮอปส์มากนัก อย่างไรก็ตาม India Pale Ale (IPA) กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 พร้อมกับการถือกำเนิดขึ้นของ ขบวนการคราฟต์เบียร์ (Craft Beer Movement) โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา

ผู้ผลิตเบียร์คราฟต์ในสหรัฐอเมริกาเริ่มทดลองใช้ฮอปส์สายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่ปลูกในท้องถิ่น เพื่อผลิต India Pale Ale (IPA) สิ่งนี้ส่งผลให้เบียร์ชนิดนี้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ผู้ผลิตหน้าใหม่ต่างคิดค้นสไตล์ที่แปลกและแตกต่างออกไป ทำให้โลกของ India Pale Ale (IPA) ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และไม่เคยหยุดนิ่ง

ปัจจุบัน India Pale Ale (IPA) จึงไม่ได้มีเพียงรูปแบบดั้งเดิมเท่านั้น แต่ได้แตกแขนงออกไปเป็นหลากหลายสไตล์ที่น่าสนใจ ซึ่งแต่ละสไตล์ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน เช่น:

ประเภทและลักษณะเฉพาะของ IPA แต่ละสไตล์

English IPA (EIPA) : บรรพบุรุษของ IPA ทั้งหมด

  • ความขม: โดดเด่นแต่ไม่รุนแรงเท่าสไตล์อเมริกัน
  • กลิ่นฮอปส์: เน้นกลิ่น Earthy, สมุนไพร, และดอกไม้ จากฮอปส์อังกฤษ
  • รสชาติ: มอลต์ชัดเจน ให้ความรู้สึกอบอุ่น และสมดุล ดื่มง่าย ซับซ้อน ไม่เน้นความสดชื่นจากฮอปส์มากนัก แต่เน้นความกลมกล่อมและความขมที่คงค้าง
  • สี: ทองแดงถึงอำพัน
  • บอดี้: ปานกลางถึงเต็ม
  • ABV: 5.0% - 7.5%
  • IBU: 40 - 60

American IPA (AIPA):สไตล์ที่ปฏิวัติวงการ IPA และทำให้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ต้นกำเนิดจากฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา (แหล่งปลูกฮอปส์ชั้นดี)

  • กลิ่น/รสชาติฮอปส์: จัดจ้าน ซับซ้อน มีตั้งแต่กลิ่นซิตรัส, สน, ผลไม้เมืองร้อน, ไปจนถึงเรซิน ฮอปส์สายพันธุ์อเมริกัน (เช่น Cascade, Centennial, Citra, Mosaic, Simcoe)
  • ความขม: ชัดเจน แต่ยังสดชื่นและมีกลิ่นหอม
  • มอลต์: ถูกลดทอนลงเพื่อให้ฮอปส์เด่นชัด
  • ABV: 5.5% - 7.5%
  • IBU: 50 - 70+

Imperial IPA / Double IPA (DIPA):ยกระดับความเข้มข้นของ American IPA ขึ้นไปอีกขั้น "เบิ้ล" ทุกอย่าง (ฮอปส์, มอลต์, แอลกอฮอล์)

  • ความขม: รุนแรงมาก
  • กลิ่นฮอปส์: หอมฟุ้งเต็มที่ ทั้งผลไม้เมืองร้อน สน ซิตรัส
  • บอดี้: แน่นขึ้นจากปริมาณมอลต์ที่มากขึ้น
  • ABV: 7.5% - 10%+
  • IBU: 65 - 100+

New England IPA (NEIPA) / Hazy IPA:ได้รับความนิยมสูง ต้นกำเนิดจากนิวอิงแลนด์ สหรัฐอเมริกา

  • จุดเด่น: ลักษณะขุ่นมัวคล้ายน้ำผลไม้ เกิดจากการ Dry Hopping ฮอปส์จำนวนมาก และใช้ข้าวโอ๊ต/ข้าวสาลี ทำให้มีโปรตีนและโพลีฟีนอลสูง เนื้อสัมผัสที่นุ่มนวล
  • กลิ่น/รสชาติฮอปส์: หอมฟุ้งเหมือนน้ำผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้เมืองร้อน (มะม่วง สับปะรด เสาวรส) ซิตรัส เบอร์รี่
  • ความขม: ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ดื่มง่าย นุ่มนวลกว่ามาก บางครั้งเรียกว่า Juicy IPA
  • ABV: 6.0% - 8.0%
  • IBU: 25 - 50

Session IPA:นำเอกลักษณ์ของ IPA มาปรับลดปริมาณแอลกอฮอล์ลง เพื่อให้ดื่มได้หลายแก้วในหนึ่ง Session

  • กลิ่น/รสชาติฮอปส์: ยังคงรักษากลิ่นหอมและรสชาติฮอปส์ได้ดี แต่ความขมลดลง
  • มอลต์: โดดเด่นขึ้นเล็กน้อย
  • ลักษณะ: สดชื่น ดื่มง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่อยากลอง IPA แต่ไม่ชอบความหนักหน่วงหรือขมรุนแรง
  • ABV: 3.5% - 5.0%
  • IBU: 30 - 50

West Coast IPA:สไตล์ที่เจาะจงของ IPA จากแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นผู้บุกเบิก

  • จุดเด่น: ความใส ไม่มีตะกอนหรือความขุ่นมัวเหมือน NEIPA
  • ความขม: ชัดเจน สะอาด
  • กลิ่นฮอปส์: ออกไปทางกลิ่นสน, เรซิน, และซิตรัส
  • มอลต์: น้อยและแห้ง ทำให้ฮอปส์แสดงบทบาทเต็มที่ ไม่มีรสหวานมาบดบัง
  • ลักษณะ: ตรงไปตรงมา เน้นความขมและกลิ่นฮอปส์ที่สดชื่น
  • ABV: 6.0% - 7.5%
  • IBU: 50 - 70+

Sour IPA:การผสมผสานเทคนิคทำเบียร์เปรี้ยว (Sour Beer) เข้ากับ IPA

  • รสชาติ: เปรี้ยวอมหวานที่ซับซ้อน ตัดกับกลิ่นหอมและรสขมของฮอปส์ ทำให้ซับซ้อนและสดชื่น
  • ABV: 5.0% - 7.0%
  • IBU: 20 - 50

Milkshake IPA:สไตล์ใหม่ ได้รับแรงบันดาลใจจาก New England IPA

  • จุดเด่น: เติม Lactose (น้ำตาลนม) ทำให้มีรสหวานและสัมผัส Creamy คล้ายมิลค์เชค
  • การเติมส่วนผสม: มักเติมผลไม้ (เช่น สตรอว์เบอร์รี่), วานิลลา หรือเครื่องเทศ เพื่อเพิ่มความซับซ้อนและกลิ่นหอมหวาน
  • ลักษณะ: ไม่เน้นความขม แต่เน้นความนุ่มนวล รสหวาน และรสชาติเหมือนขนมหวาน
  • ABV: 6.0% - 8.0%
  • IBU: 20 - 40

Hazy Double IPA: New England IPA เวอร์ชั่นอัปเกรด

  • ความเข้มข้น: ขุ่นมัวและกลิ่นผลไม้เมืองร้อนเข้มข้นกว่า NEIPA ปกติ
  • ปริมาณแอลกอฮอล์: สูงขึ้น ให้รสชาติที่เข้มข้น นุ่มนวล และบอดี้เต็มอิ่ม
  • ฮอปส์: ใช้ปริมาณมากขึ้น ทำให้กลิ่นผลไม้เมืองร้อนระเบิดออกมาอย่างเต็มที่
  • ABV: 8.0% - 10%+
  • IBU: 30 - 60

Black IPA / Cascadian Dark Ale (CDA):มีสีเข้มคล้าย Stout หรือ Porter แต่ยังคงเน้นกลิ่นและรสชาติฮอปส์แบบ IPA

  • สี: เข้มจากมอลต์คั่ว แต่ระมัดระวังไม่ให้รสชาติมอลต์เด่นจนบดบังกลิ่นฮอปส์ (ซิตรัส สน เรซิน)
  • ความขม: สูง
  • ลักษณะ: ซับซ้อนระหว่างความขมฮอปส์กับความหอมของมอลต์คั่วบาง ๆ
  • ABV: 6.0% - 7.5%
  • IBU: 50 - 70+

White IPA:ผสมผสานระหว่างเบียร์ข้าวสาลีของเบลเยียม (Witbier) เข้ากับ IPA

  • ส่วนผสม: ใช้ข้าวสาลีไม่ผ่านการมอลต์จำนวนมาก ยีสต์เบลเยียม (ให้กลิ่นคล้ายกานพลู กล้วย) เพิ่มฮอปส์แบบ IPA (กลิ่นซิตรัส ผลไม้รสเปรี้ยว)
  • การเติมส่วนผสม: อาจมีการเติมเปลือกส้มและเมล็ดผักชี เพื่อเสริมกลิ่นและรสชาติ
  • ลักษณะ: สดชื่น ซับซ้อน มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวของทั้งสองสไตล์
  • ABV: 5.5% - 7.0%
  • IBU: 40 - 70

    นอกจากที่กล่าวมาแล้ว India Pale Ale (IPA) ยังมีอีกหลากหลายสไตล์นับไม่ถ้วน เรียกได้ว่าเป็นเบียร์ที่สามารถสร้างสรรค์ได้อย่างไม่รู้จบจริง ๆ ค่ะ










บทความที่เกี่ยวข้อง
Duvel Tripel Hop (ดูเวล ทริปเปิล ฮอปส์)
ทำความรู้จัก Duvel Tripel Hop (ดูเวล ทริปเปิล ฮอปส์) เบียร์สไตล์ Belgian Strong Pale Ale ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากโรงเบียร์ Duvel Moortgat ประเทศเบลเยียม
Trappist Beer (แทรปพิสท์ เบียร์)
Trappist Beer (แทรปพิสท์ เบียร์) : น้ำเมาศักดิ์สิทธิ์ที่ประดิษฐ์ขึ้นด้วยมือของนักบวช
Cognac (คอนญัก) และ Brandy (บรั่นดี)
Cognac (คอนญัก) และ Brandy (บรั่นดี) ต่างกันอย่างไร
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ