Maggi (แม็กกี้)
หากนึกถึงเครื่องปรุงรสอะไรสักอย่างที่อยู่ในครัว แล้วสามารถนำมาใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์ เชื่อว่าหนึ่งในนั้นที่หลายคนนึกถึงน่าจะเป็น ซอสแม็กกี้ (Maggi Sauce) ฉลากสีเหลือง เพราะซอสชนิดนี้ถือเป็นเครื่องปรุงรสที่ไม่เคยตกยุคตกสมัย ด้วยความสะดวก อร่อย นำไปทานคู่กับอะไรก็ส่งเสริมรสชาติได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเมนูง่าย ๆ อย่างไข่ดาว ไข่เจียว ไข่ต้ม ไปจนถึงไข่ตุ๋น และอีกหลาย ๆ เมนู เพียงแค่เหยาะซอสลงไปสักนิด เมนูเหล่านี้ก็มีรสชาติเข้มข้นและอร่อยขึ้นมาทันที
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ซอสแม็กกี้จะเป็นที่นิยมในประเทศไทยบ้านเรา และอีกหลาย ๆ ประเทศในทวีปเอเชีย แต่รู้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้ว Maggi มีต้นกำเนิดมาจากดินแดนอันไกลโพ้นในยุโรปตะวันตกอย่างสวิตเซอร์แลนด์
จุดเริ่มต้นจากวิสัยทัศน์ของ Julius Maggi
ประวัติของ Maggi เริ่มต้นมาจาก จูเลียส แม็กกี้ (Julius Maggi) ผู้ประกอบการโรงงานโม่แป้งในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ในช่วงที่ชนชั้นอาชีพกรรมกรในสวิตเซอร์แลนด์ประสบภาวะขาดสารอาหาร เขามีโอกาสได้พบปะกับนายแพทย์ท่านหนึ่ง จากสมาคมสวัสดิภาพสาธารณะของสวิตเซอร์แลนด์ นายแพทย์ท่านนี้เล่าให้เขาฟังว่าขณะนี้ประชากรบางส่วนกำลังประสบภาวะขาดสารอาหารอย่างรุนแรง เขามีเป้าหมายที่จะช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้คนกลุ่มนี้ แต่ติดที่ว่าเนื้อสัตว์ในตอนนั้นมีราคาค่อนข้างสูง ประชากรหลายคนไม่มีเงินพอที่จะเข้าถึงได้
พอได้ยินเช่นนั้น จูเลียส แม็กกี้ จึงคิดว่าน่าจะมีวิธีการทำอาหารรสชาติดี ๆ และได้สารอาหาร เหมาะสำหรับครอบครัวชนชั้นแรงงานที่มีรายได้น้อย ที่ต้องพึ่งพาสารอาหารจากพืช เขาจึงเกิดไอเดียทำผลิตภัณฑ์จากถั่วขึ้นมา เพราะเห็นว่าถั่วนั้นมีสารอาหารประเภทเดียวกับเนื้อสัตว์
จากซุปก้อน สู่ซอสปรุงรสยอดนิยม
ในปี ค.ศ. 1884 เขาจึงตัดสินใจตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ โดยใช้ชื่อว่า Maggi เขาใช้เวลาวิจัยและพัฒนาตลอดหลายปี เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มนี้ จนในที่สุดปี ค.ศ. 1886 เขาก็ได้ปล่อยผลิตภัณฑ์ปรุงอาหารชนิดแรกที่ทำมาจากถั่ว ซึ่งก็คือซุปก้อนสำเร็จรูป Bouillon Kub ออกจำหน่ายสู่ตลาด และในเวลาต่อมาเขาก็ผลิตซอสปรุงรสแม็กกี้ตามมาอีกหนึ่งชนิด
ในเวลาเพียงไม่นานผลิตภัณฑ์ของเขาก็ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย สามารถเจาะตลาดเข้าไปอยู่ในครัวของกลุ่มคนทุกชนชั้นได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีรสชาติอร่อยกลมกล่อม ช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความอยากอาหาร แต่ความนิยมของแม็กกี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้ ในยุคที่ผู้หญิงเริ่มออกมาทำงานนอกบ้าน บางคนทำงานหนักจนไม่มีเวลาทำอาหาร ดังนั้นเพื่อลดภาระในการเตรียมอาหาร พวกเขาจึงหันมาใช้ผลิตภัณฑ์แม็กกี้เพิ่มมากขึ้น เพราะสะดวก อร่อย ใช้งานง่าย เข้ากันได้ดีกับอาหารหลากหลายเมนู
การขยายตัวสู่ตลาดโลกและการเข้าซื้อกิจการของ Nestlé
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาความนิยมของแม็กกี้ไม่เคยลดลงเลย บริษัทเริ่มส่งออกสินค้าไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วยุโรป เช่น เยอรมนี, ฝรั่งเศส, อิตาลี, สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา จนกลายเป็นเครื่องปรุงรสที่โด่งดังไปทั่วโลก เพื่อขยายกำลังการผลิตและเพิ่มจุดกระจายสินค้าในปี ค.ศ. 1897 จูเลียส แม็กกี้ จึงตัดสินใจไปตั้งโรงงานและบริษัท Maggi ในเมือง Singen ที่ประเทศเยอรมนี หลังจากนั้นชื่อเสียงของแม็กกี้ก็ไปเตะตาเข้ากับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Nestlé
จนในที่สุดเมื่อปี ค.ศ. 1947 บริษัท Nestlé ก็เข้าซื้อกิจการทั้งหมดของ Maggi และสำหรับซอสแม็กกี้ในประเทศไทยนั้น อยู่ภายใต้การบริหารและทำการตลาดของบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ทุกวันนี้ซอสแม็กกี้ก็ยังคงได้รับความนิยมเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอด โดยเฉพาะในประเทศไทยเชื่อว่าแทบทุกบ้านจะต้องมีซอสชนิดนี้วางอยู่ในครัว
ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและความสำเร็จในปัจจุบัน
จริง ๆ แล้วหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าแม็กกี้ไม่ได้มีแค่ซอส แต่ยังมีผลิตภัณฑ์อีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ซุปก้อนสำเร็จรูปที่ผลิตมาในยุคแรก ๆ ซอสชนิดต่าง ๆ ไปจนถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่คนไทยเราน่าจะไม่ค่อยรู้จักซุปก้อนและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เพราะปกติแล้วผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิดนี้จะวางจำหน่ายอยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศอินเดีย ชาวอินเดียแทบจะทุกบ้านต้องมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของแม็กกี้ติดครัวไว้
ด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างขวางของ จูเลียส แม็กกี้ ที่ใส่ใจผู้บริโภคอย่างจริงใจ จึงทำให้ทุกวันนี้ผลิตภัณฑ์ของเขาสามารถครองใจคนทั่วโลกได้อย่างยาวนาน จนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาเกือบ 140 ปีแล้ว ที่แม็กกี้สามารถเอาชนะใจคนทั่วโลก จนกลายมาเป็นเครื่องปรุงรสคู่ครัวที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม
สามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์แม็กกี้ (Maggi) ได้ที่ริมปิงทุกสาขานะคะ