Watercress (วอเตอร์เครส)
Watercress (วอเตอร์เครส) หรือ สลัดน้ำ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Nasturtium officinale) คือผักใบเขียวที่เติบโตในน้ำ และจัดอยู่ในตระกูลกะหล่ำ เช่นเดียวกับคะน้าและบรอกโคลี เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของผักชนิดนี้คือรสชาติที่เผ็ดร้อนเล็กน้อยคล้ายกับมัสตาร์ดหรือวาซาบิ ซึ่งช่วยเพิ่มความสดชื่นและความน่าสนใจให้กับเมนูอาหารต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
มรดกทางอาหารและยาจากอารยธรรมโบราณ
เรื่องราวของ Watercress มีมานานกว่า 3,000 ปีแล้ว โดยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชี้ว่าชาวเปอร์เซียโบราณ กรีก และโรมัน รู้จักผักชนิดนี้เป็นอย่างดี และใช้ประโยชน์จาก Watercress ทั้งในฐานะอาหารและยารักษาโรค
ชาวโรมันโบราณ: เชื่อว่า Watercress เป็นอาหารบำรุงกำลังและป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ จึงมักนำมาเป็นอาหารหลักของทหาร
ชาวเปอร์เซียโบราณ: กษัตริย์ Xerxes เคยบัญชาให้ทหารของพระองค์กิน Watercress เพื่อเสริมความแข็งแรงระหว่างการเดินทัพ
Hippocrates: บิดาแห่งการแพทย์ชาวกรีก ก็ใช้ Watercress ในการรักษาอาการป่วยต่างๆ เช่น โรคเลือดออกตามไรฟัน โดยเขาถึงกับปลูก Watercress ไว้ในโรงพยาบาลแห่งแรกที่สร้างขึ้นบนเกาะโคส เพื่อใช้เป็นสมุนไพรหลักในการรักษาผู้ป่วย
จากฝรั่งเศสสู่นานาประเทศ: การเพาะปลูกในเชิงพาณิชย์
เมื่อเวลาผ่านไป ความต้องการ Watercress มีเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีการพัฒนาระบบเพาะปลูกอย่างเป็นระบบ โดย ฝรั่งเศส ถือเป็นประเทศบุกเบิกในการปลูก Watercress เชิงพาณิชย์ในช่วงศตวรรษที่ 17 พวกเขาพัฒนาระบบการปลูกในแปลงน้ำไหลที่เลียนแบบสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดีเยี่ยม
จากนั้นการเพาะปลูก Watercress ก็แพร่หลายไปยังประเทศอื่นๆ ในยุโรป โดยเฉพาะใน อังกฤษ ที่ Watercress กลายเป็นส่วนสำคัญของอาหารเช้าแบบอังกฤษ และเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นแรงงานเนื่องจากมีราคาถูกแต่เปี่ยมด้วยคุณประโยชน์
Watercress ในประเทศไทย: ผักน้ำเบตงอันเลื่องชื่อ
Watercress เริ่มแพร่หลายเข้าสู่ประเทศไทยเมื่อประมาณ 5060 ปีก่อน โดยนำเข้ามาปลูกในพื้นที่สูงที่มีอากาศเย็นและน้ำใสบริสุทธิ์ เช่น อำเภอเบตง จังหวัดยะลา จนเกิดเป็นชื่อท้องถิ่นที่ว่า ผักน้ำเบตง ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของอำเภอเบตงในปัจจุบัน และยังมีการปลูกในภาคเหนือและภาคใต้อีกหลายแห่ง
อย่างไรก็ตาม Watercress ในไทยมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็น ผักเป็ด แต่ทั้งสองชนิดเป็นพืชคนละชนิดกัน โดย Watercress อยู่ในวงศ์กะหล่ำ ส่วนผักเป็ดอยู่ในวงศ์ผักโขม Watercress ของไทยจะมีลักษณะลำต้นกลวง ใบประกอบ แต่ละใบมีใบย่อย 3-8 ใบ มีความยาวกว่าผักเป็ด และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายมัสตาร์ด
ผักชนิดนี้ต้องการความชื้นสูงและน้ำที่สะอาด จึงนิยมปลูกด้วยระบบ Hydroponics หรือในแปลงน้ำตื้นที่มีน้ำไหลช้า Watercress เป็นพืชที่เจริญเติบโตเร็วและสามารถตัดใบได้ตลอดทั้งปี
ราชินีผัก เพื่อสุขภาพ: คุณค่าทางโภชนาการที่อัดแน่น
Watercress ได้รับการขนานนามว่าเป็น ราชินีผัก สำหรับคนรักสุขภาพ เพราะอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญมากมาย เช่น แคลเซียม โพแทสเซียม วิตามินซี วิตามินเอ ธาตุเหล็ก สารต้านอนุมูลอิสระ และกากใยอาหารที่ดีต่อระบบขับถ่าย นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยยืนยันว่า Watercress มีคุณสมบัติต้านมะเร็งและช่วยบำรุงหัวใจและกระดูกได้อีกด้วย
ด้วยรสชาติที่เผ็ดร้อนเป็นเอกลักษณ์ผสมผสานกับความสดชื่น Watercress จึงสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย ทั้งใน สลัด ผัดไฟแดง หรือต้มใน ซุปกระดูกหมู เพื่อช่วยลดความเลี่ยนและเพิ่มรสชาติ รวมถึงเป็นเครื่องเคียงสำหรับเมนูเนื้อสัตว์ต่างๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผักชนิดนี้เป็นมากกว่าแค่อาหาร แต่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การกินเพื่อสุขภาพที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน