ไอศกรีมกะทิ (Coconut Milk Ice Cream)
จุดเริ่มต้นของไอศกรีมในสยาม
ไอศกรีมกะทิ คือขนมหวานไทยที่มีประวัติยาวนานและเต็มไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัว แม้จะได้รับอิทธิพลจากตะวันตก แต่ได้ถูกปรับให้เข้ากับวัตถุดิบท้องถิ่นอย่างกะทิ จนกลายเป็นของหวานแบบไทย ๆ ที่ครองใจคนทุกยุคทุกสมัย
ไอศกรีมเข้ามาในประเทศไทยในช่วงปลาย รัชกาลที่ 4 ถึงต้น รัชกาลที่ 5 โดยมีบันทึกของ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวถึงการทดลองทำไอศกรีมหลังจากเสด็จประพาสสิงคโปร์ในปี พ.ศ. 2414 ซึ่งในขณะนั้น การผลิตน้ำแข็งยังไม่แพร่หลาย ไอศกรีมจึงถือเป็นของหรูสำหรับชนชั้นสูง
จากครีมวัวสู่กะทิมะพร้าว ความสร้างสรรค์แบบไทย
ด้วยข้อจำกัดด้านต้นทุน วัตถุดิบนมและครีมจากต่างประเทศในเวลานั้นมีราคาสูง คนไทยจึงใช้ กะทิ ซึ่งเป็นของพื้นบ้านแทนที่นมและครีม ทำให้เกิด ไอศกรีมกะทิ ที่หอม มัน กลมกล่อมไม่เหมือนใคร
ไอศกรีมกะทิยุคแรกมีลักษณะคล้าย กรานิต้า (Granita) เพราะยังไม่มีเครื่องปั่นแบบทันสมัย จึงต้องใช้วิธีปั่นด้วยมือ โดยใส่กะทิในถังไม้ที่ล้อมรอบด้วยน้ำแข็งและเกลือ และใช้แรงคนปั่นจนได้เนื้อเนียนละเอียด
ไอศกรีมทราย...ในถ้วยกะลา
ในช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อเทคโนโลยีทำความเย็นเริ่มแพร่หลาย ไอศกรีมกะทิก็กลายเป็นขนมหวานของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะในรูปแบบ รถเข็นไอศกรีม หรือ ไอศกรีมจักรยาน ที่ขายตามชุมชน พร้อมเสิร์ฟใน ถ้วยกระดาษ, กะลามะพร้าว หรือแม้แต่ขนมปัง
เครื่องเคียงที่สร้างความเพลิดเพลิน
สิ่งที่ทำให้ไอศกรีมกะทิไม่เหมือนใครคือ เครื่องเคียง ที่สามารถเลือกได้มากมาย เช่น:
- ถั่วลิสงคั่ว
- ข้าวเหนียวมูน
- ลอดช่อง
- ลูกชิด
- ขนุน
- เผือกต้ม หรือฟักทองเชื่อม
เครื่องเคียงเหล่านี้ช่วยเติมรสสัมผัสกรุบหนึบให้ของหวานชนิดนี้กลายเป็นประสบการณ์สุดพิเศษ
ไอศกรีมกะทิในปัจจุบัน: ความคลาสสิกที่ไม่เคยจาง
ทุกวันนี้ ไอศกรีมกะทิไม่ได้จำกัดอยู่แค่รถเข็นริมทาง แต่ยังได้รับการนำเสนอในร้านขนมหวาน คาเฟ่ และแม้แต่โรงแรมหรู ด้วยรูปลักษณ์ที่ทันสมัยขึ้น แต่ยังคงรสชาติเดิมที่กลมกล่อม หอมมัน และเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความทรงจำ