แชร์

Amarone (อามาโรเน่)

Amarone (อามาโรเน่) คืออะไร

Amarone (อามาโรเน่) หรือชื่อเต็มคือ Amarone della Valpolicella (อามาโรเน่ เดลลา วาลโปลิเซลลา) คือไวน์แดงที่มีชื่อเสียง และมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากเขต Valpolicella แคว้น Veneto ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี

ต้นกำเนิดของ Amarone ในสมัยโรมันโบราณ 

ต้นกำเนิดของ Amarone มีประวัติย้อนกลับไปในสมัยโรมันโบราณ ว่ากันว่าในสมัยนั้นชาวโรมันได้คิดค้นกรรมวิธีการผลิตไวน์ที่เรียกว่า Appassimento (อัปปาสซิเมนโต) ซึ่งเดิมทีจะเป็นหนึ่งในการถนอมอาหาร เพื่อให้ชาวโรมันสามารถเก็บองุ่นไว้ได้นานขึ้น

วิธีการที่ชาวโรมันจะใช้ผลิตไวน์หวาน

วิธีการนี้ชาวโรมันจะใช้ผลิตไวน์หวานที่ในยุคนั้นจะเรียกว่า "Reticum" โดยการนำองุ่นไปตากแห้งเป็นเวลาหลายเดือนก่อนนำมาหมักบ่ม เพื่อให้น้ำในผลองุ่นค่อย ๆ เหือดแห้งไป สิ่งที่เหลืออยู่คือปริมาณของน้ำองุ่นที่เหลือน้อยลงและน้ำตาล เมื่อนำมาทำไวน์แล้ว จะได้ไวน์ที่เข้มข้น มีกลิ่นหอม และรสชาติที่ซับซ้อน

ไวน์หวานนี้เป็นที่นิยมและถูกกระจายส่งไปบริโภคทั่วอาณาจักรโรมัน

ซึ่ง Appassimento นี้ฝังรากลึกอยู่กับวัฒนธรรมการทำไวน์ของชาวโรมันยาวนานไปจนเข้าสู่ยุคกลาง และแพร่หลายเป็นอย่างมากโดยเฉพาะในพื้นที่ที่ปัจจุบันเป็นแคว้น Veneto เมื่อเวลาผ่านไป ไวน์หวานนี้จึงถูกชาว Veneto ท้องถิ่นตั้งชื่อว่า Recioto หรือชื่อเต็มคือ Recioto della Valpolicella ซึ่งสุดท้ายกลายเป็นรากฐานของ Amarone

ตำนาน Amarone ที่กำเนิดขึ้นจากความผิดพลาด

มีเรื่องเล่าว่า Amarone นั้นถือกำเนิดขึ้นจากความผิดพลาดในการผลิตไวน์ Recioto della Valpolicella ในช่วงปี 1936 เมื่อไวน์เมกเกอร์ลืมไวน์ไว้ในถังหมักนานเกินไป ทำให้ยีสต์กินน้ำตาลจนหมด กลายเป็นไวน์ที่มีความ Dry ขึ้น มีรสชาติเข้มข้น และมีแอลกอฮอล์สูง เพราะปกติแล้วไวน์หวานอย่าง Recioto ผู้ทำไวน์จะหยุดกระบวนการหมักบ่มไว้ก่อน เพื่อรักษาระดับน้ำตาลคงค้างในไวน์เอาไว้

**ในหลักการทำไวน์นั้น ยีสต์จะไปกินน้ำตาลในน้ำองุ่นแล้วเปลี่ยนเป็นแอลกอฮอล์ ดังนั้นหากองุ่นสุกจัด ก็จะมีน้ำตาลมาก ซึ่งก็จะได้ไวน์ที่มีแอกอฮอล์สูง มีความฉ่ำของผลไม้**

ในช่วงเริ่มแรก Amarone ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากถูกมองว่าเป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นจากความไม่ได้ตั้งใจ กล่าวคือเป็นไวน์ Recioto ที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่อย่างไรก็ตามด้วยลักษณะเฉพาะ และรสชาติที่เข้มข้นโดดเด่น ในภายหลัง Amarone จึงได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นไวน์ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย

การพัฒนากรรมวิธีการผลิตไวน์ Amarone

เมื่อเวลาผ่านไปกรรมวิธีการผลิตไวน์ Amarone ก็ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น ซึ่งการผลิตนั้นจะมีความพิเศษ และแตกต่างจากไวน์แดงทั่วไป โดยเริ่มจากการเก็บองุ่นพันธุ์พื้นเมืองของแคว้นเวเนโต เช่น Corvina, Corvinone และ Rondinella จากนั้นนำองุ่นมาตากแห้งเป็นเวลาหลายเดือนจนองุ่นมีลักษณะคล้ายลูกเกด เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะนำองุ่นที่ตากแห้งแล้วมาหมักในถังไม้โอ๊กเป็นเวลาอีกหลายปี ทำให้ไวน์มีรสชาติที่ซับซ้อน เข้มข้น และอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์

ในปี 2010 Amarone della Valpolicella ได้รับสถานะ DOCG

ในปี 2010 Amarone della Valpolicella ได้รับสถานะ DOCG (Denominazione di Origine Controllata e Garantita) ซึ่งเป็นการจัดระดับคุณภาพไวน์ระดับสูงสุดของอิตาลี ทำให้กระบวนการผลิตได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อรักษาความโดดเด่น และคุณภาพเอาไว้

เอกลักษณ์ของ Amarone 

Amarone เป็นไวน์ที่มีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของผลไม้สุกหลากชนิด เครื่องเทศนานาพรรณ และช็อกโกแลตเข้มข้น มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงจนบางครั้งอาจเกิน 15% ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เอื้อต่อการเก็บรักษาเป็นระยะเวลานานหลายสิบปี

การจับคู่ Amarone กับอาหาร

Amarone เหมาะอย่างยิ่งที่จะนำมาจับคู่กับอาหารที่มีรสชาติเข้มข้น เช่น เนื้อแดงชนิดต่าง ๆ และชีสที่รสจัด และเพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมลงตัว ควรเสิร์ฟไวน์ชนิดนี้ที่อุณหภูมิ 18-20 องศาเซลเซียส และอาจต้องปล่อยให้ Amarone ได้สัมผัสอากาศก่อนเสิร์ฟหนึ่งชั่วโมงขึ้นไป เพื่อดึงเอารสชาติที่แท้จริงออกมา


บทความที่เกี่ยวข้อง
Weihenstephaner (ไวเฮนชะเตฟาเนอร์)
ย้อนรอยประวัติศาสตร์ Weihenstephaner (ไวเฮนชะเตฟาเนอร์) โรงเบียร์เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
Rothschild (รอธไชลด์)
Rothschild : ตำนานตระกูลขุนนางแห่งโลกไวน์ จากการเงินสู่ความเป็นเลิศใน Bordeaux
Ornellaia (ออร์เนลลาญ่า)
Ornellaia : ตำนานไวน์ Super Tuscan แห่งแคว้นทัสคานี กับรสชาติระดับโลก
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ