Chive (ไชฟ์)

ทำความรู้จัก Chive ผักใบเรียวเล็กที่มีเสน่ห์และประวัติศาสตร์ยาวนาน

คุณเคยสงสัยไหมว่าผักใบเรียวเล็กๆ สีเขียวเข้มที่มักโรยอยู่บนอาหารฝรั่งเศสหรืออาหารสุขภาพนั้นคืออะไร? นั่นคือ Chive (ไชฟ์) หนึ่งในผักตระกูล Allium เช่นเดียวกับต้นหอม หอมใหญ่ และกระเทียม แต่ Chive มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้แตกต่างออกไป

Chive มีลักษณะใบที่เรียวเล็กกว่าต้นหอมทั่วไป มีสีเขียวเข้มสดใส และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ละมุนละไม ซึ่งแตกต่างจากต้นหอมที่มีใบใหญ่กว่าและกลิ่นฉุนที่โดดเด่นกว่า ด้วยเหตุนี้ Chive จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้ปรุงรสอาหารที่มีรสชาติเบาๆ เพื่อเพิ่มความหอมและความสดชื่น โดยไม่กลบรสชาติหลักของอาหาร ในขณะที่ต้นหอมมักถูกนำไปใช้ในอาหารที่มีรสชาติเข้มข้นมากกว่า

เส้นทางประวัติศาสตร์ของ Chive: จากอดีตสู่ครัวโลก

ต้นกำเนิดของ Chive นั้นมีประวัติย้อนกลับไปอย่างยาวนานถึง 3,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยมีถิ่นกำเนิดทั้งในทวีปยุโรปและเอเชีย โดยเฉพาะในพื้นที่แถบบอลข่าน ไซบีเรีย และจีน หลักฐานทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่า Chive ถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลายในสังคมโบราณ ไม่ว่าจะเป็นชาวจีนโบราณ ชาวอียิปต์ หรือแม้แต่ชาวโรมัน ทั้งในฐานะวัตถุดิบประกอบอาหารและยาสมุนไพร

Chive ในอารยธรรมโบราณ : สรรพคุณทางยาและความเชื่อ

ใน จีนโบราณ Chive ไม่เพียงแต่ได้รับการยกย่องว่าเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศในการทำอาหารเท่านั้น แต่ยังถูกนำมาใช้ประโยชน์ทางยาด้วย การแพทย์แผนจีนโบราณค้นพบว่า Chive มีส่วนช่วยในการทำให้ระบบย่อยอาหารแข็งแรง และช่วยบรรเทาอาการปวดได้

สำหรับ ชาวโรมันโบราณ Chive ก็ได้รับการยกย่องในด้านสรรพคุณทางยาด้วยเช่นกัน ชาวโรมันพบว่า Chive สามารถบรรเทาอาการปวด ช่วยในเรื่องระบบย่อยอาหาร ลดอาการผิวไหม้จากแสงแดด และช่วยรักษาบาดแผลได้ ว่ากันว่าทหารโรมันมักใช้ Chive ในการรักษาบาดแผล เนื่องจากมีคุณสมบัติในการต่อต้านแบคทีเรียตามธรรมชาติ

ในช่วง ยุคกลาง Chive ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในตำรับยาพื้นบ้านของยุโรป เนื่องจากมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้หลากหลาย นอกจากสรรพคุณทางยาแล้ว Chive ยังเกี่ยวข้องกับความเชื่อของชาวยุโรปอีกด้วย โดยในนิทานพื้นบ้านของยุโรปกล่าวว่า Chive สามารถขับไล่วิญญาณชั่วร้ายและโรคภัยไข้เจ็บได้ ด้วยเหตุนี้ชาวยุโรปในบางประเทศจึงมักจะแขวน Chive แห้งไว้รอบบ้าน เพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้าย นอกจากนี้พวกเขายังใช้ Chive ในการทำนายดวงชะตาด้วย โดยโยนใบไม้ลงบนโต๊ะเปล่าๆ แล้วตรวจสอบการเรียงตัวของ Chive เพื่อทำนายดวงชะตาอีกด้วย

บทบาทของ Chive ในวัฒนธรรมอาหารฝรั่งเศสและอเมริกา

ใน ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา Chive เริ่มมีบทบาทสำคัญต่อประเพณีการทำอาหารในยุโรปมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศฝรั่งเศส ซึ่ง Chive กลายเป็นหนึ่งในส่วนผสมสำคัญของสมุนไพรผสมฝรั่งเศสที่เรียกว่า Fines Herbes Fines Herbes เป็นการผสมผสานสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ เช่น Chive, Parsley, Tarragon และ Chervil โดยสามารถนำไปปรุงรสน้ำสต็อก ซุป หรือสับแล้วผสมลงในสลัดก็ได้เช่นกัน แต่มีข้อควรระวังคือ ควรใส่ Chive ลงไปตอนท้ายของขั้นตอนการปรุงอาหาร เพื่อรักษารสชาติอันละเอียดอ่อนและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์เอาไว้

เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรปก็นำ Chive ไปเผยแพร่ยัง อเมริกาเหนือ ซึ่ง Chive ก็สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศในอเมริกาเหนือได้อย่างรวดเร็ว จนเริ่มมีการปลูกในสวนต่างๆ ทั่วทั้งทวีป และเช่นเดียวกันในสหรัฐอเมริกา Chive ก็ได้รับความนิยมทั้งในด้านการทำอาหารและสรรพคุณยา โดยในสหรัฐอเมริกา Chive มักใช้ในอาหารประเภทมันฝรั่งอบ ไข่คน และซุปครีม เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและความสดชื่น

ประโยชน์ทางโภชนาการและสารอาหารใน Chive

การที่ Chive ถูกนำมาใช้ในด้านสรรพคุณทางยาอย่างแพร่หลายนั้น เป็นเพราะว่า Chive อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น วิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม เหล็ก และฟอสฟอรัส นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่ช่วยลดการอักเสบและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึง อัลลิซิน (Allicin) ซึ่งเป็นสารประกอบซัลเฟอร์ที่เชื่อกันว่ามีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและต้านการอักเสบ ซึ่งเป็นคุณสมบัติเดียวกันกับที่พบในกระเทียมแต่ในปริมาณที่อ่อนโยนกว่า

ปัจจุบัน Chive ได้รับการเพาะปลูกอย่างกว้างขวางและได้รับความนิยมไปทั่วโลก รวมถึงในทวีปเอเชียด้วย โดยในเอเชีย Chive ก็ได้รับการแนะนำให้รู้จักโดยผู้อพยพชาวจีนนั่นเอง

คุณสามารถหาซื้อ Chive สดใหม่คุณภาพดี เพื่อนำไปประกอบอาหารและเพิ่มประโยชน์ให้กับมื้อโปรดของคุณได้ที่ริมปิงทุกสาขานะคะ