แชร์

Buffalo Wing (บัฟฟาโลวิงส์)

เมื่อได้ยินชื่อ Buffalo Wing (บัฟฟาโลวิงส์) ครั้งแรก หลายคนอาจแอบแปลกใจและนึกถึงควาย แต่แท้จริงแล้วชื่อนี้หมายถึง ปีกไก่ทอดสุดคลาสสิกของชาวอเมริกัน ที่โด่งดังไปทั่วโลก ปีกไก่ทอดเป็นเมนูที่พบได้ทั่วไปในร้านอาหารหลากหลายประเทศ ซึ่งแต่ละแห่งก็จะมีเทคนิคและรสชาติที่แตกต่างกันออกไป อย่างในบ้านเราก็คุ้นเคยกับปีกไก่ทอดน้ำปลา ขณะที่ฝั่งสหรัฐอเมริกา บัฟฟาโลวิงส์คือปีกไก่ทอดที่ขึ้นชื่อและเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกเรื่องราวเบื้องหลังของเมนูนี้ ตั้งแต่จุดกำเนิด สูตรลับเฉพาะ ไปจนถึงการเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมอาหารอเมริกันที่ครองใจคนทั่วโลก

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับชื่อ : บัฟฟาโลวิงส์ ไม่ใช่ปีกควาย

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับชื่อกันก่อน บัฟฟาโลวิงส์ (Buffalo Wings) แม้จะแปลตรงตัวแล้วหมายความว่า ปีกควาย แต่ความจริงแล้วเมนูนี้คือ ปีกไก่ทอดล้วนๆ ซึ่งไม่มีส่วนผสมที่ทำมาจากควายแต่อย่างใดเลย ความเข้าใจผิดนี้เกิดจาก ต้นกำเนิดของเมนู ที่เกิดขึ้นที่ เมืองบัฟฟาโล (Buffalo) รัฐนิวยอร์ก นั่นเอง ชื่อของอาหารจึงเป็นการให้เกียรติแก่เมืองที่เป็นแหล่งกำเนิด ไม่ใช่จากวัตถุดิบที่ใช้ทำ

จุดเริ่มต้นในร้าน Anchor Bar : อุบัติเหตุแห่งความอร่อย

ประวัติศาสตร์อันน่าสนใจของบัฟฟาโลวิงส์เริ่มต้นขึ้นในปี 1964 ณ ร้านอาหารเล็กๆ ชื่อ Anchor Bar ในเมืองบัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก ซึ่งเป็นร้านของสองสามีภรรยาชาวอิตาลี คือ Frank (แฟรงก์) และ Teressa Bellissimo (เทเรสซา เบลลิสซิโม) ในขณะนั้นร้าน Anchor Bar มีเมนูยอดฮิตที่เป็นซิกเนเจอร์คือซุปไก่ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เนื้อไก่จำนวนมากในการปรุง

แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อวัตถุดิบไก่ที่สั่งมากลับมีแต่ ปีกไก่บนและปีกไก่กลาง ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ไม่ได้รับความนิยมในการนำมาทำซุปหรือน้ำสต็อก เทเรสซาไม่รู้จะทำอย่างไรกับปีกไก่จำนวนมหาศาลนี้ดี จึงนำไปแช่ตู้เย็นไว้เป็นการชั่วคราว ประจวบเหมาะกับเย็นวันนั้น Dominic Bellissimo (โดมินิก เบลลิสซิโม) ลูกชายของพวกเขา ก็พาเพื่อนกลุ่มใหญ่มาเที่ยวที่ร้าน และต้องการอาหารว่าง เทเรสซาจึงเกิดความคิดที่จะนำปีกไก่ทั้งหมดที่เหลืออยู่มาลองทำเป็นอาหาร เธอลงมือ ทอดปีกไก่โดยไม่ชุบแป้ง เพื่อให้ได้ความกรอบนอกนุ่มใน จากนั้นจึง ราดด้วยซอสสูตรพิเศษ ที่เธอคิดค้นขึ้นเอง เสิร์ฟให้กับกลุ่มเพื่อนของลูกชาย

จากความบังเอิญ สู่ความนิยมที่แพร่กระจาย

ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าประหลาดใจและประสบความสำเร็จเกินคาด ทุกคนที่ได้ลองชิมต่างก็ชื่นชอบและติดอกติดใจในรสชาติเผ็ดร้อนหอมเนยที่ลงตัวของปีกไก่ทอดนี้ ในเช้าอีกวัน เทเรสซาจึงตัดสินใจนำเมนูปีกไก่ทอดนี้ใส่ลงไปในเมนูอาหารของร้าน เสิร์ฟพร้อมกับน้ำสลัดบลูชีส (Blue Cheese Dressing) และขึ้นฉ่ายฝรั่ง (Celery Sticks) ซึ่งเป็นเครื่องเคียงที่เข้ากันได้อย่างลงตัวกับรสชาติจัดจ้านของบัฟฟาโลวิงส์

ผลปรากฏว่าเมื่อมีลูกค้าคนอื่นๆ ลองทานก็ต่างบอกว่าอร่อยมากเช่นกัน ไม่นานนัก ชื่อเสียงของบัฟฟาโลวิงส์ก็ได้รับการบอกต่อแบบปากต่อปาก ผู้คนทั้งในเมืองและจากต่างเมือง ต่างก็พากันมาลิ้มลองปีกไก่ทอดต้นตำรับกันอย่างล้นหลาม จนในที่สุด บัฟฟาโลวิงส์ ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและแพร่กระจายไปทั่วรัฐนิวยอร์ก กลายเป็นเมนูขึ้นชื่อที่ใครมาเมืองบัฟฟาโลก็ต้องมาลอง

บทบาทสำคัญในวัฒนธรรมอเมริกันและวันเฉลิมฉลอง

ความนิยมของบัฟฟาโลวิงส์ได้แพร่กระจายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด ไม่ใช่แค่ในร้านอาหาร แต่ยังเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการกินของชาวอเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกิจกรรมกีฬายอดนิยมอย่าง การแข่งขันชิงแชมป์ฟุตบอลอเมริกัน Super Bowl ปีกไก่ทอดบัฟฟาโลวิงส์กลายเป็นอาหารว่างยอดนิยมที่ผู้ชมสั่งมารับประทานระหว่างชมการแข่งขันอย่างแพร่หลาย จนมีการคาดการณ์ว่าเมื่อ 60 ปีที่แล้ว ผู้ชมในงานต่างก็สั่งปีกไก่ทอดมากินรวมกันนับได้มากถึง 1.4 พันล้านชิ้น ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมอย่างมหาศาล

ด้วยความสำคัญและความผูกพันที่มีต่อเมืองบัฟฟาโล ในปี 1977 ทางการของเมืองบัฟฟาโลจึงได้ประกาศอย่างเป็นทางการให้ วันที่ 29 กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวัน Chicken Wing Day เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับเมนูอมตะนี้

เคล็ดลับความอร่อยและซอสอันเป็นเอกลักษณ์

ด้วยวิธีการทำที่ง่าย สะดวก รวดเร็ว แถมอร่อยจนต้องบอกต่อ บัฟฟาโลวิงส์จึงโด่งดังไปทั่วโลกในเวลาไม่นาน ซึ่งจุดเด่นของเมนูนี้ก็คือ:

ไก่ทอดที่ไม่ต้องชุบแป้ง: ทำให้ได้เนื้อสัมผัสของหนังไก่ที่กรอบและเนื้อไก่ที่นุ่มชุ่มฉ่ำโดยตรง ไม่ต้องกังวลเรื่องแป้งอมน้ำมัน
ซอสสูตรพิเศษ: ซอสที่ใช้ราดบัฟฟาโลวิงส์เป็นหัวใจสำคัญของรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ โดยส่วนประกอบหลักของซอสต้นตำรับคือ เนยละลาย (Melted Butter) ที่ให้ความนุ่มนวลและกลิ่นหอมของเนย พริกคาเยน (Cayenne Pepper Sauce) ที่ให้ความเผ็ดร้อน และ Worcestershire Sauce (ซอสวูสเตอร์เชอร์) ที่เพิ่มความกลมกล่อมและมิติของรสชาติ รวมถึง น้ำส้มสายชู (Vinegar) ที่ช่วยเพิ่มความเปรี้ยวอมเปรี้ยวให้ซอสมีรสชาติซับซ้อนยิ่งขึ้น
ในปัจจุบัน ด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้น ทำให้มี ซอสพริกสไตล์บัฟฟาโล (Buffalo-Style Hot Sauce) จำหน่ายสำเร็จรูปตามซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ทำให้ทุกคนสามารถสร้างสรรค์เมนูบัฟฟาโลวิงส์แสนอร่อยได้ง่ายๆ ที่บ้าน

การประยุกต์ใช้ซอสบัฟฟาโลในเมนูอื่นๆ

นอกจากซอสพริกสไตล์บัฟฟาโลจะนิยมทานคู่กับไก่ทอดแล้ว ในปัจจุบัน รสชาติเผ็ดร้อนหอมเนยที่เป็นเอกลักษณ์ของซอสบัฟฟาโลยังถูกนำมา ประยุกต์ใช้กับอาหารทอดรูปแบบอื่นๆ หรือแม้แต่เมนูที่ไม่ใช่ของทอด เพื่อเพิ่มรสชาติและความน่าสนใจ ตัวอย่างเช่น การนำมาใช้กับ:

  • นักเก็ตไก่
  • กุ้งทอด
  • พิซซ่า (ทาเป็นซอสเบสหรือราดหน้า)
  • ข้าวโพดปิ้ง หรือ ข้าวโพดคั่ว เพื่อเพิ่มรสชาติเผ็ดร้อนแบบอเมริกัน
ถึงแม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด แต่ปัจจุบัน บัฟฟาโลวิงส์ ก็ยังคงเป็นตัวเลือกยอดนิยม สำหรับการรับประทานอาหารว่างระหว่างวัน ในงานปาร์ตี้ และงานสังสรรค์อื่นๆ ทั่วโลก เป็นข้อพิสูจน์ถึงความอมตะของรสชาติและเรื่องราวอันเป็นเอกลักษณ์ของเมนูนี้
Tags :

บทความที่เกี่ยวข้อง
Jerky (เจอร์กี้)
ทำความรู้จัก Jerky (เจอร์กี้) จากอาหารที่เก็บไว้ทานเพื่อความอยู่รอด สู่ยุคที่เราอยู่รอดแต่ก็ยังอยากทาน
Margherita (มาร์การิตา)
ทำความรู้จัก Margherita (มาร์การิตา) ต้นกำเนิดพิซซ่าสมัยใหม่ถาดแรกของโลก
Poutine (ปูทีน)
ชวนรู้จัก Poutine (ปูทีน) มันฝรั่งทอดสไตล์แคนาดา
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ