แชร์

Kikkoman (คิคโคแมน)

อัพเดทล่าสุด: 9 มิ.ย. 2025

หากพูดถึงโชยุ หรือซอสถั่วเหลือง เชื่อว่าชื่อ Kikkoman ต้องผุดขึ้นมาในใจของหลายคนเป็นอันดับต้น ๆ ภาพซอส Kikkoman ขวดฝาแดงดีไซน์คลาสสิกที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอาหารญี่ปุ่นแทบทุกแห่งทั่วโลกไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือสัญลักษณ์ของประวัติศาสตร์กว่า 300 ปี ที่ผ่านการสั่งสมความเชี่ยวชาญและนวัตกรรม วันนี้ Rimping Supermarket จะพาทุกท่านย้อนรอยไปทำความรู้จักกับเบื้องหลังความสำเร็จของ Kikkoman แบรนด์ซอสถั่วเหลืองระดับโลกที่ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องปรุงรส แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการกินที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย

จากจีนสู่ญี่ปุ่น : ต้นกำเนิดของโชยุ

เรื่องราวของโชยุเริ่มต้นขึ้นเมื่อราว 2,000 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อวัฒนธรรมการหมักซอสถั่วเหลืองจากประเทศจีนได้แพร่หลายมายังญี่ปุ่น ในช่วงแรกนั้น ชาวจีนนิยมทำ "เต้าเจี้ยว" ซึ่งชาวญี่ปุ่นเรียกว่า "มิโสะ" โดยเป็นซอสที่ได้รับความนิยมในหมู่ประชาชนทั่วไป ทว่ารสชาติของมิโสะอาจยังไม่เป็นที่ถูกพระทัยของราชวงศ์ญี่ปุ่นมากนัก ชาวญี่ปุ่นจึงได้นำองค์ความรู้นี้มาต่อยอดและพัฒนาจนกลายเป็น "โชยุ" ในแบบฉบับที่ราชวงศ์ชื่นชอบ

ในยุคแรกเริ่ม ศูนย์กลางการผลิตโชยุของญี่ปุ่นอยู่ที่เมืองเกียวโต ซึ่งเป็นที่ประทับของราชวงศ์ในศตวรรษที่ 17 อุตสาหกรรมโชยุจึงเจริญรุ่งเรืองที่นั่น จนกระทั่งศตวรรษที่ 19 เมื่อญี่ปุ่นย้ายศูนย์อำนาจทางการเมืองจากเกียวโตมายัง "เอโดะ" (ซึ่งก็คือโตเกียวในปัจจุบัน) อุตสาหกรรมโชยุก็ได้ขยับขยายตามมาด้วย บริษัทใหม่ ๆ ในเมืองนี้เริ่มผลิตโชยุมากขึ้น โดยมีรสชาติที่แตกต่างจากโชยุของเกียวโตเล็กน้อย นั่นคือจะมีรสชาติเค็มน้อยกว่าแต่เข้มข้นกว่า ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของโชยุจากภูมิภาคนี้

การรวมตัวของ 8 บริษัท สู่กำเนิด Kikkoman

ในบรรดาผู้ผลิตโชยุมากมายจากเมืองต่าง ๆ โชยุจากเมืองโนดะ จังหวัดชิบะ ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากเมืองนี้มีบริษัทที่ผลิตโชยุจำหน่ายเป็นจำนวนมาก ด้วยศักยภาพและวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ในปี 1917 บริษัทผู้ผลิตโชยุชั้นนำ 8 แห่งในเมืองโนดะได้ตัดสินใจควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน และก่อตั้งเป็นบริษัทเดียวภายใต้ชื่อ "Kikkoman" การรวมตัวครั้งประวัติศาสตร์นี้ส่งผลให้ Kikkoman กลายเป็นบริษัทผู้ผลิตโชยุที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นในทันที และยังคงครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ในญี่ปุ่นมาโดยตลอดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทจวบจนปัจจุบัน

พิชิตตลาดโลก : Kikkoman สู่สหรัฐอเมริกา

เมื่อการเติบโตในประเทศถึงจุดสูงสุด ในปี 1950 Kikkoman ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะขยายตลาดสู่ต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายคือประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญในการฟื้นฟูประเทศญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

ในช่วงแรก การบุกตลาดสหรัฐอเมริกาไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เนื่องจากชาวอเมริกันยังไม่คุ้นเคยกับการรับประทานอาหารญี่ปุ่น และร้านอาหารญี่ปุ่นในสมัยนั้นก็ยังมีอยู่น้อยมาก Kikkoman จึงใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่ชาญฉลาด โดยเน้นการโฆษณาว่าโชยุเป็นซอสปรุงรสอเนกประสงค์ที่สามารถนำไปใช้กับอาหารได้หลากหลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชูจุดเด่นว่าโชยุสามารถเข้ากันได้ดีกับ อาหารประเภทเนื้อย่างหรือสเต๊ก ซึ่งเป็นเมนูที่คุ้นเคยและเป็นที่ชื่นชอบของชาวอเมริกัน

ผลปรากฏว่ากลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม! ชาวอเมริกันจำนวนมากได้ทดลองนำโชยุไปทานคู่กับสเต๊กและอาหารตะวันตกอื่น ๆ และพบว่าโชยุช่วยเพิ่มรสชาติและความอร่อยได้อย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง Kikkoman จึงตัดสินใจเปิดโรงงานผลิตโชยุแห่งแรกในสหรัฐอเมริกาในปี 1973 และยอดขายก็ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจนแซงยอดขายภายในประเทศญี่ปุ่นในที่สุด

Kikkoman ในปัจจุบัน : คุณภาพที่เหนือกว่า

ปัจจุบันซอส Kikkoman ได้รับการยอมรับและความชื่นชอบจากผู้คนทั่วโลก ไม่เพียงเพราะรสชาติที่ดีเยี่ยม แต่ยังรวมถึงคุณภาพของส่วนผสมที่พิถีพิถัน และกระบวนการผลิตที่เป็นเอกลักษณ์

  • ส่วนผสมหลัก 4 อย่าง: ซอส Kikkoman ทำจากส่วนประกอบหลัก 4 อย่าง ได้แก่ ถั่วเหลือง, ข้าวสาลี, น้ำ และเกลือ
  • การหมักธรรมชาติ: วัตถุดิบเหล่านี้ได้รับการผสมผสานอย่างระมัดระวังและปล่อยให้หมักตามธรรมชาติเป็นระยะเวลานานหลายเดือน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน ทำให้ได้ซอสที่มีรสชาติเข้มข้น กลมกล่อม และมีมิติที่แตกต่างจากซอสถั่วเหลืองทั่วไปในท้องตลาด

โซเดียมต่ำกว่า: หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ซอส Kikkoman แตกต่างและได้รับความนิยมคือปริมาณโซเดียมที่ค่อนข้างต่ำ โดยมีโซเดียมเพียงประมาณ 1,000 มิลลิกรัมต่อช้อนโต๊ะ ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมปริมาณโซเดียม

ความอเนกประสงค์และมรดกทางวัฒนธรรม

Kikkoman เป็นเครื่องปรุงรสที่อเนกประสงค์อย่างแท้จริง ด้วยรสชาติที่เข้มข้นและกลมกล่อม จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการนำไป

  • หมักเนื้อสัตว์และอาหารทะเล: ช่วยเพิ่มรสชาติและทำให้เนื้อนุ่มขึ้น
  • ปรุงอาหารประเภทผัด ซุป และสตูว์: ช่วยเพิ่มความซับซ้อนและมิติของรสชาติ
  • เป็นเครื่องปรุงรส: สำหรับน้ำสลัด ซอส และเครื่องจิ้มอื่น ๆ
  • ซอสจิ้มยอดนิยม: สำหรับซูชิ ซาชิมิ และอาหารญี่ปุ่นดั้งเดิมอื่น ๆ

นอกเหนือจากการเป็นเครื่องปรุงรสอาหารแล้ว ซอส Kikkoman ยังได้กลายเป็น สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกการทำอาหารของชาติ และมักปรากฏอยู่ในอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมเสมอ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Kikkoman ยังได้ขยายสายผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค โดยมีการผลิตซอสในรูปแบบอื่น ๆ ออกมาจำหน่ายด้วย เช่น ซอสเทอริยากิ, ซอสพอนซึ, เครื่องปรุงรสซูชิ และซอสอื่น ๆ อีกมากมาย ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังคงยึดมั่นในมาตรฐานการผลิตระดับสูง โดยใช้วัตถุดิบคุณภาพดีและกระบวนการผลิตที่เป็นแบบเดียวกับซอส Kikkoman ดั้งเดิม จึงมั่นใจได้ว่าทุกผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ Kikkoman จะมอบรสชาติและคุณภาพที่เป็นเลิศเสมอ

คุณสามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์ Kikkoman หลากหลายชนิดและวัตถุดิบพรีเมียมอื่น ๆ สำหรับอาหารญี่ปุ่นและอาหารนานาชาติ ได้ที่ริมปิงทุกสาขานะคะ
Tags :

บทความที่เกี่ยวข้อง
ME CARE (มีแคร์)
ทำความรู้จัก ME CARE แบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมของประเทศไทย ที่มีมาตรฐานการผลิตจากประเทศเยอรมนี
Wisconsin Chees (วิสคอนซินชีส)
ทำความรู้จัก Wisconsin Cheese ชีสคุณภาพจากรัฐวิสคอนซิน ชีสที่ผลิตใน Americas Dairyland ดินแดนแห่งนมและชีสของสหรัฐอเมริกา
Phillips Foods (ฟิลลิปส์ ฟู้ดส์)
ทำความรู้จัก Phillips Foods (ฟิลลิปส์ ฟู้ดส์) แบรนด์อาหารทะเลที่โดดเด่นด้วยคุณภาพเนื้อปูระดับโลก
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ