แชร์

Kikkoman (คิคโคแมน)

หากพูดถึงโชยุ หรือซอสถั่วเหลือง เชื่อว่าชื่อ Kikkoman ต้องผุดขึ้นมาในใจของหลายคนเป็นอันดับต้น ๆ ภาพซอส Kikkoman ขวดฝาแดงดีไซน์คลาสสิกที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอาหารญี่ปุ่นแทบทุกแห่งทั่วโลกไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือสัญลักษณ์ของประวัติศาสตร์กว่า 300 ปี ที่ผ่านการสั่งสมความเชี่ยวชาญและนวัตกรรม วันนี้ Rimping Supermarket จะพาทุกท่านย้อนรอยไปทำความรู้จักกับเบื้องหลังความสำเร็จของ Kikkoman แบรนด์ซอสถั่วเหลืองระดับโลกที่ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องปรุงรส แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการกินที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย

จากจีนสู่ญี่ปุ่น : ต้นกำเนิดของโชยุ

เรื่องราวของโชยุเริ่มต้นขึ้นเมื่อราว 2,000 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อวัฒนธรรมการหมักซอสถั่วเหลืองจากประเทศจีนได้แพร่หลายมายังญี่ปุ่น ในช่วงแรกนั้น ชาวจีนนิยมทำ "เต้าเจี้ยว" ซึ่งชาวญี่ปุ่นเรียกว่า "มิโสะ" โดยเป็นซอสที่ได้รับความนิยมในหมู่ประชาชนทั่วไป ทว่ารสชาติของมิโสะอาจยังไม่เป็นที่ถูกพระทัยของราชวงศ์ญี่ปุ่นมากนัก ชาวญี่ปุ่นจึงได้นำองค์ความรู้นี้มาต่อยอดและพัฒนาจนกลายเป็น "โชยุ" ในแบบฉบับที่ราชวงศ์ชื่นชอบ

ในยุคแรกเริ่ม ศูนย์กลางการผลิตโชยุของญี่ปุ่นอยู่ที่เมืองเกียวโต ซึ่งเป็นที่ประทับของราชวงศ์ในศตวรรษที่ 17 อุตสาหกรรมโชยุจึงเจริญรุ่งเรืองที่นั่น จนกระทั่งศตวรรษที่ 19 เมื่อญี่ปุ่นย้ายศูนย์อำนาจทางการเมืองจากเกียวโตมายัง "เอโดะ" (ซึ่งก็คือโตเกียวในปัจจุบัน) อุตสาหกรรมโชยุก็ได้ขยับขยายตามมาด้วย บริษัทใหม่ ๆ ในเมืองนี้เริ่มผลิตโชยุมากขึ้น โดยมีรสชาติที่แตกต่างจากโชยุของเกียวโตเล็กน้อย นั่นคือจะมีรสชาติเค็มน้อยกว่าแต่เข้มข้นกว่า ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของโชยุจากภูมิภาคนี้

การรวมตัวของ 8 บริษัท สู่กำเนิด Kikkoman

ในบรรดาผู้ผลิตโชยุมากมายจากเมืองต่าง ๆ โชยุจากเมืองโนดะ จังหวัดชิบะ ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากเมืองนี้มีบริษัทที่ผลิตโชยุจำหน่ายเป็นจำนวนมาก ด้วยศักยภาพและวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ในปี 1917 บริษัทผู้ผลิตโชยุชั้นนำ 8 แห่งในเมืองโนดะได้ตัดสินใจควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน และก่อตั้งเป็นบริษัทเดียวภายใต้ชื่อ "Kikkoman" การรวมตัวครั้งประวัติศาสตร์นี้ส่งผลให้ Kikkoman กลายเป็นบริษัทผู้ผลิตโชยุที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นในทันที และยังคงครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ในญี่ปุ่นมาโดยตลอดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทจวบจนปัจจุบัน

พิชิตตลาดโลก : Kikkoman สู่สหรัฐอเมริกา

เมื่อการเติบโตในประเทศถึงจุดสูงสุด ในปี 1950 Kikkoman ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะขยายตลาดสู่ต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายคือประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญในการฟื้นฟูประเทศญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

ในช่วงแรก การบุกตลาดสหรัฐอเมริกาไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เนื่องจากชาวอเมริกันยังไม่คุ้นเคยกับการรับประทานอาหารญี่ปุ่น และร้านอาหารญี่ปุ่นในสมัยนั้นก็ยังมีอยู่น้อยมาก Kikkoman จึงใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่ชาญฉลาด โดยเน้นการโฆษณาว่าโชยุเป็นซอสปรุงรสอเนกประสงค์ที่สามารถนำไปใช้กับอาหารได้หลากหลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชูจุดเด่นว่าโชยุสามารถเข้ากันได้ดีกับ อาหารประเภทเนื้อย่างหรือสเต๊ก ซึ่งเป็นเมนูที่คุ้นเคยและเป็นที่ชื่นชอบของชาวอเมริกัน

ผลปรากฏว่ากลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม! ชาวอเมริกันจำนวนมากได้ทดลองนำโชยุไปทานคู่กับสเต๊กและอาหารตะวันตกอื่น ๆ และพบว่าโชยุช่วยเพิ่มรสชาติและความอร่อยได้อย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง Kikkoman จึงตัดสินใจเปิดโรงงานผลิตโชยุแห่งแรกในสหรัฐอเมริกาในปี 1973 และยอดขายก็ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจนแซงยอดขายภายในประเทศญี่ปุ่นในที่สุด

Kikkoman ในปัจจุบัน : คุณภาพที่เหนือกว่า

ปัจจุบันซอส Kikkoman ได้รับการยอมรับและความชื่นชอบจากผู้คนทั่วโลก ไม่เพียงเพราะรสชาติที่ดีเยี่ยม แต่ยังรวมถึงคุณภาพของส่วนผสมที่พิถีพิถัน และกระบวนการผลิตที่เป็นเอกลักษณ์

  • ส่วนผสมหลัก 4 อย่าง: ซอส Kikkoman ทำจากส่วนประกอบหลัก 4 อย่าง ได้แก่ ถั่วเหลือง, ข้าวสาลี, น้ำ และเกลือ
  • การหมักธรรมชาติ: วัตถุดิบเหล่านี้ได้รับการผสมผสานอย่างระมัดระวังและปล่อยให้หมักตามธรรมชาติเป็นระยะเวลานานหลายเดือน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน ทำให้ได้ซอสที่มีรสชาติเข้มข้น กลมกล่อม และมีมิติที่แตกต่างจากซอสถั่วเหลืองทั่วไปในท้องตลาด

โซเดียมต่ำกว่า: หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ซอส Kikkoman แตกต่างและได้รับความนิยมคือปริมาณโซเดียมที่ค่อนข้างต่ำ โดยมีโซเดียมเพียงประมาณ 1,000 มิลลิกรัมต่อช้อนโต๊ะ ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมปริมาณโซเดียม

ความอเนกประสงค์และมรดกทางวัฒนธรรม

Kikkoman เป็นเครื่องปรุงรสที่อเนกประสงค์อย่างแท้จริง ด้วยรสชาติที่เข้มข้นและกลมกล่อม จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการนำไป

  • หมักเนื้อสัตว์และอาหารทะเล: ช่วยเพิ่มรสชาติและทำให้เนื้อนุ่มขึ้น
  • ปรุงอาหารประเภทผัด ซุป และสตูว์: ช่วยเพิ่มความซับซ้อนและมิติของรสชาติ
  • เป็นเครื่องปรุงรส: สำหรับน้ำสลัด ซอส และเครื่องจิ้มอื่น ๆ
  • ซอสจิ้มยอดนิยม: สำหรับซูชิ ซาชิมิ และอาหารญี่ปุ่นดั้งเดิมอื่น ๆ

นอกเหนือจากการเป็นเครื่องปรุงรสอาหารแล้ว ซอส Kikkoman ยังได้กลายเป็น สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกการทำอาหารของชาติ และมักปรากฏอยู่ในอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมเสมอ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Kikkoman ยังได้ขยายสายผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค โดยมีการผลิตซอสในรูปแบบอื่น ๆ ออกมาจำหน่ายด้วย เช่น ซอสเทอริยากิ, ซอสพอนซึ, เครื่องปรุงรสซูชิ และซอสอื่น ๆ อีกมากมาย ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังคงยึดมั่นในมาตรฐานการผลิตระดับสูง โดยใช้วัตถุดิบคุณภาพดีและกระบวนการผลิตที่เป็นแบบเดียวกับซอส Kikkoman ดั้งเดิม จึงมั่นใจได้ว่าทุกผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ Kikkoman จะมอบรสชาติและคุณภาพที่เป็นเลิศเสมอ

คุณสามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์ Kikkoman หลากหลายชนิดและวัตถุดิบพรีเมียมอื่น ๆ สำหรับอาหารญี่ปุ่นและอาหารนานาชาติ ได้ที่ริมปิงทุกสาขานะคะ
Tags :

บทความที่เกี่ยวข้อง
Thai Fermented Fish Sauce (น้ำปลาร้า)
เปลี่ยนภาพลักษณ์ Thai Fermented Fish Sauce (น้ำปลาร้า) : นำมาพาสเจอร์ไรซ์สู่ความเป็นสากล
Maggi (แม็กกี้)
ย้อนรอย Maggi (แม็กกี้) ซอสปรุงรสในตำนานจากสวิตเซอร์แลนด์
Lee Kum Kee (ลีกุมกี่)
เหตุเกิดจากความบังเอิญ: ซอสหอยนางรม Lee Kum Kee (ลีกุมกี่) ที่เกิดขึ้นเพราะลืมดับไฟ
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ