แชร์

Pink Pepper (พริกไทยชมพู)

แม้จะมีชื่อว่า Pink Pepper (พริกไทยสีชมพู) แต่จริงๆ แล้ว เจ้าผลเบอร์รี่สีสวยนี้ไม่ได้อยู่ในตระกูลเดียวกับพริกไทยดำหรือพริกไทยขาวที่เราคุ้นเคยกันเลยค่ะ! พริกไทยสีชมพู คือผลเบอร์รี่แห้งของต้นไม้ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Schinus Terebinthifolius หรือที่บ้านเราเรียกว่า มะตูมแขก ซึ่งมีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาใต้ วันนี้ Rimping Supermarket จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเครื่องเทศที่มีเสน่ห์ชนิดนี้กันค่ะ

ต้นกำเนิดและคุณประโยชน์ทางยาในอเมริกาใต้

การใช้พริกไทยสีชมพูมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยชนพื้นเมืองในอเมริกาใต้มักจะใช้พริกไทยสีชมพูเป็น ยาแผนโบราณ สำหรับรักษาโรคต่างๆ เนื่องจากมีคุณสมบัติที่โดดเด่นในการ ต่อต้านแบคทีเรีย ลดการอักเสบ รวมถึงช่วยรักษาโรคทางเดินหายใจ และปัญหาการย่อยอาหาร

พริกไทยสีชมพูเติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้นในแถบอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในประเทศ เปรู บราซิล และภูมิภาคอื่นๆ ในเทือกเขาแอนดีส และลุ่มแม่น้ำอเมซอน เมื่อยังไม่สุก ผลของมันจะเป็นสีเขียว แต่เมื่อสุกเต็มที่ ผลก็จะกลายเป็นสีชมพูไปจนถึงแดงสดใส

ทำไมถึงถูกเรียกว่า พริกไทยสีชมพู?

สาเหตุที่เรียกผลเบอร์รี่นี้ว่า พริกไทยสีชมพู นั้นเป็นเพราะว่ามันมี ลักษณะภายนอกที่คล้ายคลึงกับเมล็ดพริกไทย และในแง่ของการใช้งาน ก็ถูกนำมาใช้ปรุงรสอาหารเช่นเดียวกับพริกไทย ด้วยเหตุนี้เองจึงได้ชื่อว่า พริกไทยสีชมพู นั่นเองค่ะ

การเดินทางสู่ยุโรปและความนิยมที่แพร่หลาย

ในศตวรรษที่ 16 นักล่าอาณานิคมชาวสเปนได้เดินทางมายังอเมริกาใต้ และเป็นผู้ที่ค้นพบพริกไทยสีชมพูเป็นครั้งแรก จากนั้นในเวลาต่อมา พวกเขาก็ได้นำพริกไทยสีชมพูกลับไปเผยแพร่ยังทวีปยุโรป

ในยุโรป พริกไทยสีชมพูได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ด้วย สีสันที่สดใส และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ที่ไม่เผ็ดร้อนจัดจ้านเหมือนพริกไทยดำ หรือพริกไทยขาว แต่จะมีรสชาติที่ซับซ้อน เผ็ดเบาๆ ปนหวานเล็กน้อย เปรี้ยวอมฝาด และมีกลิ่นหอมคล้ายผลไม้ป่า เชฟชาวยุโรปจึงนิยมนำมาปรุงรสอาหารหลากหลายชนิด เช่น สลัด ซุป และใช้หมักเนื้อสัตว์ต่างๆ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติที่แตกต่าง

Pink Pepper ในครัวโลกและการเพาะปลูกที่ขยายตัว

ต่อมาเมื่ออาณานิคมของยุโรปขยายอาณาเขต พริกไทยสีชมพูก็เริ่มได้รับการแนะนำให้รู้จักทั่วโลก ทั้งในอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแอฟริกา จากนั้นในศตวรรษที่ 19 ก็ได้รับการแนะนำให้รู้จักในสหรัฐอเมริกา จนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอาหารที่หลากหลายและน่าสนใจ

ในช่วงศตวรรษที่ 20 การเพาะปลูกพริกไทยสีชมพูมีเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่อื่นๆ แม้ว่าจะชอบสภาพอากาศที่ร้อนชื้น แต่พริกไทยสีชมพูก็สามารถเติบโตได้ในสภาพอากาศที่หลากหลาย เพราะเป็นต้นไม้ที่ทนแล้ง โดยปัจจุบันประเทศที่เพาะปลูกพริกไทยสีชมพูรายใหญ่ ได้แก่ มาดากัสการ์ บราซิล เปรู และเกาะเรอูนียง

ปัจจุบัน พริกไทยสีชมพูถูกนำมาใช้ในอาหารหลายประเภท เช่น ซอส, น้ำหมัก, อาหารทะเล, ขนมอบ และยังใช้เป็นส่วนผสมในค็อกเทล สุรา และเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น จินโทนิค (Gin & Tonic) ได้ด้วย เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติที่ซับซ้อนให้กับเครื่องดื่ม

ด้วยสีสันที่สวยงาม กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ และรสชาติที่ซับซ้อนไม่เหมือนใคร ทำให้พริกไทยสีชมพูเป็นเครื่องเทศที่ช่วยยกระดับเมนูอาหารและเครื่องดื่มของคุณให้พิเศษยิ่งขึ้น

Tags :

บทความที่เกี่ยวข้อง
Fish & Chips (ฟิช แอนด์ ชิปส์)
Fish & Chips (ฟิช แอนด์ ชิปส์) อาหารสุดเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่หยั่งรากฝังลึก จนกลายมาเป็นอาหารประจำชาติของประเทศอังกฤษ
hepherds and Cottage Pie (เชปเพิร์ดส์ และคอตเทจพาย)
ชวนรู้จัก Shepherds and Cottage Pie (เชปเพิร์ดส์ และคอตเทจพาย) : จากอาหารธรรมดาของคนเลี้ยงแกะ สู่การเป็นอาหารสุดหรูของผู้ดีอังกฤษ
น้ำมันหมู vs. น้ำมันพืช
น้ำมันหมู vs. น้ำมันพืช : ไขข้อถกเถียงและทางเลือกเพื่อสุขภาพ
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ