แชร์

Robert Mondavi (โรเบิร์ต มอนดาวี)

โรเบิร์ต มอนดาวี (Robert Mondavi) เป็นผู้ผลิตไวน์ชาวอเมริกันผู้มีบทบาทสำคัญในการพลิกโฉมวงการไวน์แคลิฟอร์เนีย และยกระดับไวน์โลกใหม่ให้เทียบเท่ากับไวน์ชั้นนำจากยุโรป วันนี้ Rimping Supermarket จะพาคุณไปทำความรู้จักกับตำนานผู้สร้างสรรค์ไวน์แห่ง Napa Valley ผู้นี้กันค่ะ

จุดเริ่มต้นของตำนาน: จากความฝันนักกีฬา สู่เส้นทางไวน์ (ค.ศ. 1913 - 1965)

โรเบิร์ต มอนดาวี เกิดเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1913 ในรัฐมินนิโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเติบโตมาในครอบครัวที่ประกอบธุรกิจผลิตไวน์อยู่แล้ว (เดิมทีครอบครัวของโรเบิร์ตอพยพมาจากอิตาลี แต่โรเบิร์ตเกิดที่อเมริกา มีพี่น้อง 4 คน โรเบิร์ตคือลูกคนที่ 3) แต่ในช่วงแรกโรเบิร์ตไม่ได้สนใจเกี่ยวกับการผลิตไวน์มากนัก เพราะเขาใฝ่ฝันอยากเป็นนักกีฬามากกว่า

อย่างไรก็ตาม โชคชะตาพลิกผันเมื่อเขาอายุได้ 21 ปี ครอบครัวของเขาก็ต้องย้ายถิ่นฐานอีกครั้งไปอยู่ที่เมืองโลดิ รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อเริ่มต้นธุรกิจไวน์ใหม่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงจำใจเข้ามาช่วยงานในไร่ไวน์ของครอบครัว ซึ่งในช่วงเวลานี้เองที่ทำให้เขาเริ่มหลงใหลในศาสตร์แห่งการทำไวน์ เขาเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับไวน์ ตั้งแต่การปลูกองุ่นไปจนถึงการผลิตไวน์ นอกจากนี้เขายังเดินทางไปยุโรป เพื่อศึกษาการผลิตไวน์แบบดั้งเดิมอีกด้วย

เมื่อย้ายมายังแคลิฟอร์เนียในปี 1943 Cesare Mondavi (เชซาเร มอนดาวี) พ่อของเขาก็ได้ซื้อไร่ไวน์ต่อจาก Charles Krug (ชาร์ลส์ ครุก) (หนึ่งในผู้บุกเบิกการผลิตไวน์ใน Napa Valley) ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเซนต์เฮเลนา รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อผลิตไวน์ขาย

หลังจากผลิตไวน์ในแคลิฟอร์เนียมาได้สักพัก ในปี 1965 โรเบิร์ตก็ลาออกจากการทำงานในไร่ไวน์ของครอบครัว เนื่องจากบาดหมางกับปีเตอร์น้องชายของเขา ในเรื่องทิศทางทำธุรกิจของไร่ไวน์

การกำเนิดของ Robert Mondavi Winery และการปฏิวัติไวน์โลกใหม่ (ค.ศ. 1966 - 1970s)

จากนั้นในปี 1966 โรเบิร์ตก็ก่อตั้งไร่ไวน์ Robert Mondavi Winery ของเขาขึ้นมาที่ Napa Valley รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมีเป้าหมายในการผลิตไวน์ระดับโลกในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งโรเบิร์ตใช้เงินลงทุนในการทำธุรกิจของเขามากถึง 200,000 ดอลลาร์ ด้วยเหตุนี้ไร่ไวน์ของเขาจึงกลายเป็นไร่ไวน์ยักษ์ใหญ่แห่งแรกที่สร้างขึ้นใน Napa Valley

แต่ก่อนที่โรเบิร์ตจะก่อตั้งไร่ไวน์ของเขา ไร่ไวน์ในอเมริกามักจะถูกมองว่ามีคุณภาพต่ำกว่าไร่ไวน์ของยุโรป ซึ่งความเชื่อแบบนี้ยังคงอยู่ แม้ว่า Napa Valley ทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนียจะมีสภาพภูมิอากาศ และประเภทของดินแบบเดียวกับทางตอนใต้ของอิตาลี และฝรั่งเศส

ด้วยเหตุนี้โรเบิร์ตจึงมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะผลิตไวน์โลกใหม่ ให้เทียบเท่ากับไวน์ชั้นนำจากยุโรป เขาเน้นผลิตไวน์คุณภาพสูงจากองุ่นที่ปลูกในท้องถิ่น อีกทั้งยังนำเทคนิคการผลิตไวน์แบบยุโรปมาใช้ด้วย เช่น การหมักแบบควบคุมอุณหภูมิโดยใช้ถังสแตนเลสสำหรับไวน์ขาว

โรเบิร์ตนำเทคนิค การหมักเย็น มาใช้สำหรับไวน์ขาว เพื่อคงรสชาติ และกลิ่นของผลไม้สดเอาไว้ และนอกจากนี้เขายังค้นพบว่าองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของคุณภาพไวน์ฝรั่งเศส ก็คือการบ่มใน ถังไม้โอ๊ค จากนั้นในเวลาต่อมาเขาจึงเริ่มทดลองบ่มไวน์ในถังไม้โอ๊ค ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็คือไวน์แคลิฟอร์เนียมีเอกลักษณ์ทัดเทียมกับไวน์ชั้นนำจากฝรั่งเศส

ในแง่ของการตลาดโรเบิร์ตก็มีความคิดสร้างสรรค์เช่นกัน เขาท้าทายบรรทัดฐานเดิมด้วยการส่งเสริมการติดฉลากไวน์ในรูปแบบหลากหลาย แทนที่จะเป็นเหมือนกันทั้งหมด รวมถึงสนับสนุนให้ใส่ชื่อพันธุ์องุ่นลงไปในฉลากด้วย สิ่งนี้ดึงดูดความสนใจของคนรักไวน์ได้เป็นอย่างมาก ในไม่ช้าการติดฉลากไวน์ในรูปแบบของเขาจึงกลายเป็นมาตรฐานสำหรับ ไวน์โลกใหม่ (New World Wine) นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งไร่ไวน์ในออสเตรเลีย ชิลี แอฟริกาใต้ และประเทศอื่นๆ ก็นำแนวทางของเขาไปใช้เช่นกัน

ในปี 1968 โรเบิร์ตได้เปิดตัวไวน์ตัวแรกชื่อ Fumé Blanc (ฟูเม่ บลอง) ซึ่งเป็นไวน์ Sauvignon Blanc แบบ Dry ที่บ่มด้วยถังไม้โอ๊ค โดยหลังจากเปิดตัวก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ไวน์ของเขาช่วยยกระดับสถานะไวน์อเมริกาให้ทัดเทียมกับไวน์ของยุโรปขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็เริ่มผลิตไวน์คุณภาพดีขึ้นมาอีกหลากหลายประเภท

ในปี 1972 ไวน์ของเขาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดย Los Angeles Times หนังสือพิมพ์ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ประกาศว่าไวน์ Cabernet Sauvignon ที่ผลิตในปี 1969 ของโรเบิร์ตเป็นไวน์ที่ดีที่สุดแห่งปี

นอกจากนี้ปี 1976 ไวน์จากผู้ผลิตรายอื่นๆ ใน Napa Valley จำนวนมากก็ได้รับเสียงชื่นชมในระดับนานาชาติด้วยเช่นกัน และในปี 1979 ชื่อเสียงของไวน์ Napa Valley ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอีก เมื่อโรเบิร์ตร่วมมือกับ Baron Philippe de Rothschild (บารอน ฟิลิป เดอ โรทไชลด์) เจ้าของ Château Mouton Rothschild ในฝรั่งเศส เพื่อสร้าง Opus One Winery ขึ้นมาในหุบเขาแห่งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ในการผลิตไวน์ที่มีคุณภาพดีที่สุดโดยผสมผสานสไตล์บอร์โดซ์ (Bordeaux) และ Napa Valley เข้าด้วยกัน

ความสำเร็จระดับโลกและมรดกที่ยั่งยืน (ทศวรรษ 1980 - ปัจจุบัน)

ตลอด ทศวรรษ 1980 และ 1990 โรเบิร์ตได้ขยายธุรกิจของเขาทั้งในประเทศ และต่างประเทศจนประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ไวน์ของเขาได้รับรางวัลมากมายจนมีชื่อโด่งดังไปทั่วโลก นอกจากนี้ความสำเร็จของโรเบิร์ตยังกระตุ้นให้เกิดการเติบโตของอุตสาหกรรมไวน์ Napa Valley อีกด้วย

ในปี 2004 โรเบิร์ตได้ขายธุรกิจของเขาให้กับ Constellation Brands (คอนสเตลเลชั่น แบรนด์ส) ซึ่งเป็นผู้ผลิต และจัดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชั้นนำระดับนานาชาติ แต่ถึงแม้จะถูกขายออกไป แต่แบรนด์ก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะผลิตไวน์คุณภาพสูง ในขณะเดียวกันก็ยึดหลักปฏิบัติในการปลูกองุ่นอย่างยั่งยืน พร้อมดำเนินงานตามแนวทางของโรเบิร์ตดังเดิม

หลังจากขายธุรกิจไปแล้ว ในปี 2005 โรเบิร์ต และปีเตอร์น้องชายของเขาก็กลับมาร่วมกันทำไวน์เป็นครั้งแรกหลังจากที่ทะเลาะกันมายาวนาน พวกเขาใช้องุ่นจากไร่องุ่นของทั้งสองครอบครัวในการผลิตไวน์ Cabernet โดยผลิตขายเพียงแค่หนึ่งบาร์เรลเท่านั้น และขายได้ในราคา 400,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 14,736,000 บาท) จากการประมูลที่ Napa Valley ภายใต้ชื่อ Ancora Una Volta (แปลว่า Once Again)

โรเบิร์ต มอนดาวี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 ด้วยวัย 94 ปี แต่ชื่อเสียง และผลงานของเขายังคงเป็นที่จดจำในฐานะ เจ้าพ่อไวน์แห่ง Napa Valley ขณะเดียวกันน้องชายของเขาก็เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 ด้วยวัย 101 ปี


บทความที่เกี่ยวข้อง
Wheat Beer (วีทเบียร์)
ย้อนรอยประวัติศาสตร์ความเป็นมาของ Wheat Beer (วีทเบียร์)
Jägermeister (เยเกอร์ไมสเตอร์)
ทำความรู้จัก Jägermeister (เยเกอร์ไมสเตอร์) ลิเคียวสมุนไพรจากประเทศเยอรมนี และตำนานของ Saint Hubertus อันเป็นที่มาของชื่อแบรนด์และตราสัญลักษณ์รูปกวางและไม้กางเขน
Southern Comfort (เซาเทิร์น คอมฟอร์ท)
ย้อนรอยประวัติศาสตร์ Southern Comfort (เซาเทิร์น คอมฟอร์ท) วิสกี้รสนุ่มนวลเคล้ากลิ่นผลไม้จากเมืองนิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ