แชร์

Bénédictine (เบนเนดิกทีน)

น้ำสีเหลืองอำพันเคล้าไปกับกลิ่นหอมของสมุนไพรหลากหลายชนิด เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Bénédictine (เบนเนดิกทีน) ลิเคียวชั้นเลิศจากประเทศฝรั่งเศสที่มีอายุยาวนานกว่า 500 ปี วันนี้ Rimping Supermarket จะพาคุณไปเจาะลึกเรื่องราวของลิเคียวในตำนานขวดนี้กันค่ะ

จุดกำเนิดในอาราม Fécamp: ลิเคียวเพื่อสุขภาพ (ค.ศ. 1510)

เรื่องราวของ Bénédictine เริ่มต้นขึ้นที่ อาราม Fécamp ในแคว้นนอร์ม็องดี ประเทศฝรั่งเศส กล่าวกันว่าบาทหลวงชื่อ Dom Bernardo Vincelli (ดอม เบอร์นาร์โด วินเชลลี) นิกาย Benedictine เป็นผู้คิดค้นลิเคียวชนิดนี้ขึ้นมาในปี ค.ศ. 1510 โดยใช้สมุนไพร เครื่องเทศ และรากผักหายากที่พบตามชายฝั่งนอร์ม็องดีในการผลิต โดยถูกนำมาใช้เพื่อเป็นยาและเป็นเครื่องดื่มช่วยย่อยอาหาร (Digestive Drink)

การสูญหายและการค้นพบใหม่: Alexandre Le Grand (ค.ศ. 1789 - 1863)

ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา Bénédictine ได้รับความนิยมในอาราม Fécamp จนกระทั่งในช่วง การปฏิวัติฝรั่งเศส (1789-1792) อารามถูกทำลาย นักบวชต้องหนีเอาชีวิตรอด แต่ด้วยความตระหนักว่าสูตรจะหายไป บาทหลวงจึงมอบสูตร Benedictine ของ Dom Bernardo Vincelli ที่เขียนเอาไว้ในตำราให้แก่ Prosper Couillard (พรอสเปอร์ คูยาร์ด) ผู้ดูแลอาราม

อย่างไรก็ตามตำราเล่มนี้ถูกซ่อนเอาไว้และถูกลืมไปเกือบศตวรรษ จนกระทั่งในปี 1863 Alexandre Le Grand (อเล็กซองเดอร์ เลอ กรองด์) หลานชายของ Prosper Couillard นักสะสมงานศิลปะทางศาสนาค้นพบตำราที่สูญหายไปเล่มนี้ เขาจึงนำสูตรมาปรับปรุง โดยดัดแปลงจากสูตรดั้งเดิมจนได้มาเป็นลิเคียวสมุนไพรที่เรียกว่า Bénédictine (สาเหตุที่ต้องปรับปรุงสูตรใหม่เนื่องจากสูตรดั้งเดิมมีรสชาติที่เหมาะจะใช้เป็นยามากกว่า) ซึ่งปัจจุบันสูตรดั้งเดิมนี้ถูกเก็บรักษาเอาไว้ในห้องนิรภัยในเจนีวา (Geneva)

การสร้างแบรนด์และกลยุทธ์ทางการตลาด (ค.ศ. 1864)

Alexandre Le Grand สั่งทำขวดแก้วสุดพิเศษที่มีลักษณะคล้ายขวดโบราณที่พบในอารามจากอธิการคณะบาทหลวง Bénédictine ในกรุงโรม และขออนุญาตใช้ชื่อ และตราสัญลักษณ์ของอาราม Bénédictine ใน Fécamp เพื่อเป็นการยกย่อง Dom Bernardo Vincelli จากนั้นเขาจึงตั้งชื่อลิเคียวนี้ว่า Bénédictine และปั๊มตราสัญลักษณ์ของ Bénédictine ด้วยขี้ผึ้งสีแดงติดอยู่บนขวด

ในปี 1864 Alexandre Le Grand ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสำหรับ Bénédictine โดยใช้คำขวัญของบาทหลวง Bénédictine ผ่านตัวย่อ D.O.M. ซึ่งย่อมาจากคำว่า Dom Optimo Maximo แปลว่า แด่พระผู้เป็นเจ้าผู้ประเสริฐและยิ่งใหญ่ ดังนั้นเราจึงเห็นอักษรย่อ D.O.M. ปรากฏอยู่บนขวด Bénédictine นั่นเอง

เนื่องจากครอบครัวของ Alexandre Le Grand ทำธุรกิจค้าขายไวน์อยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงนำ Bénédictine ส่งไปขายทั่วยุโรปและอเมริกา จนทำให้ชื่อเสียงแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงเท่านี้เขายังนำกลยุทธ์ทางการตลาดสมัยใหม่มาใช้ในแบรนด์ของเขาด้วย โดยนำป้ายโฆษณาที่มีสีสันสะดุดตาไปตั้งไว้ตามจุดที่มีคนพลุกพล่าน เช่น ทางขึ้นเรือ และทางขึ้นรถไฟ จนในที่สุดแบรนด์ของเขาก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก

โรงกลั่นที่สร้างใหม่ และการสร้างสรรค์ B&B (ค.ศ. 1892 - 1937)

ในภายหลัง Alexandre Le Grand จึงสร้างสำนักงานและโรงกลั่นอยู่บนที่ตั้งของอารามเก่าที่ถูกทำลาย และตกแต่งสถาปัตยกรรมให้คล้ายกับอารามดั้งเดิม แต่แล้วเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชาวเมืองท้องถิ่น 2 คนที่เขาจ้างมาทำงาน ซึ่งเป็นคนขี้เมาไม่พอใจที่ Alexandre Le Grand จะไล่ออก ในคืนวันที่ 11 มกราคม ปี 1892 ชายทั้งสองคนนี้จึงจุดไฟเผาสำนักงานและโรงกลั่นจนเสียหายทั้งหมด รวมถึงเอกสารต่างๆ ของบริษัทก็ถูกเผาไปด้วยเช่นกัน (ซึ่งภายหลังถูกจับได้และส่งเข้าเรือนจำเรียบร้อย)

ถึงแม้จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่ครอบครัว Le Grand ก็ยังคงไม่หยุดพัฒนา พวกเขาตัดสินใจสร้าง Palais Bénédictine (ปาเลส์ เบเนดิกตีน) ขึ้นมาใหม่ โดยทำให้ใหญ่และมีความหรูหรามากขึ้นกว่าเดิม ออกแบบด้วยการผสานสไตล์บาโรกและกอทิกอย่างหรูหรา โดยสถาปนิกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสมัยนั้น นอกจากห้องโถงของโรงกลั่นขนาดใหญ่แล้ว ห้องต่างๆ รวมถึงห้องสวดมนต์ก็ถูกประดับประดาด้วยงานแกะสลักและสิ่งประดิษฐ์ของนักบวช โดยอาคารแห่งนี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1900 ปัจจุบันก็ยังเป็นคงเป็นที่ตั้งของสำนักงาน Bénédictine

ความนิยมของ Bénédictine นำไปสู่การสร้างสรรค์ในรูปแบบใหม่ระหว่างการห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสหรัฐอเมริกาในปี 1930 โดยบาร์เทนเดอร์คนหนึ่งที่ Club 21 ในแมนฮัตตันเกิดแนวคิดที่จะผสมบรั่นดีคอนญัค Bénédictine และน้ำผึ้ง เข้าด้วยกัน จนได้มาเป็น Bénédictine รสชาติใหม่ที่มีความหอมหวานมากขึ้น

ต่อมาในปี ค.ศ. 1937 บริษัทของ Alexandre Le Grand จึงตัดสินใจผลิต Bénédictine B&B สำเร็จรูปพร้อมดื่มในเชิงพาณิชย์ขึ้นมา โดย B ตัวแรกมาจาก Benedictine D.O.M. และ B ตัวที่สองมาจาก Brandy โดยใช้ Bénédictine 60 % และบรั่นดีชั้นเลิศของฝรั่งเศส 40 %


บทความที่เกี่ยวข้อง
Wheat Beer (วีทเบียร์)
ย้อนรอยประวัติศาสตร์ความเป็นมาของ Wheat Beer (วีทเบียร์)
Jägermeister (เยเกอร์ไมสเตอร์)
ทำความรู้จัก Jägermeister (เยเกอร์ไมสเตอร์) ลิเคียวสมุนไพรจากประเทศเยอรมนี และตำนานของ Saint Hubertus อันเป็นที่มาของชื่อแบรนด์และตราสัญลักษณ์รูปกวางและไม้กางเขน
Southern Comfort (เซาเทิร์น คอมฟอร์ท)
ย้อนรอยประวัติศาสตร์ Southern Comfort (เซาเทิร์น คอมฟอร์ท) วิสกี้รสนุ่มนวลเคล้ากลิ่นผลไม้จากเมืองนิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ