Ferrero (เฟอร์เรโร)
เรื่องราวของ Ferrero (เฟอร์เรโร) เริ่มต้นขึ้นในเมืองเล็กๆ ที่ชื่อ Alba (อัลบา) บนเนินเขา Piedmont อันงดงามในอิตาลี เมื่อปี 1946 หลังจากที่ Pietro Ferrero (ปิเอโตร เฟอร์เรโร) เจ้าของร้านขายขนมชาวอิตาลีพาครอบครัวย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่เมือง Alba วันนี้ Rimping Supermarket จะพาคุณไปเจาะลึกเรื่องราวของอาณาจักรช็อกโกแลตระดับโลกนี้กันค่ะ
จุดเริ่มต้นแห่งไอเดีย: Giandujot และการก่อตั้ง Ferrero (ค.ศ. 1946)
เดิมที Pietro Ferrero เปิดร้านขายบิสกิตให้กับกองทัพอิตาลีที่ประจำการอยู่ที่ประเทศเอริเทรียแถบแอฟริกาตะวันออก แต่ขายไม่ค่อยดีนัก เขาจึงพาครอบครัวย้ายกลับมายังอิตาลี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มต้นขึ้น
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง โกโก้ก็มีราคาแพงขึ้น Pietro Ferrero จึงเกิดไอเดียลดต้นทุนการทำช็อกโกแลต โดยนำกากน้ำตาล น้ำมันมะพร้าว โกโก้เล็กน้อย และ เฮเซลนัท ซึ่งเป็นถั่วราคาถูกที่มีการเพาะปลูกอย่างแพร่หลายในเมือง Alba มาผสมกันทำเป็นขนมหวานชื่อว่า Giandujot (ジャンデュヨ, ฌองดูโยต์) มีลักษณะเป็นแท่งเหมือนก้อนอิฐห่อด้วยกระดาษไข ผู้คนนิยมนำมาสไลด์เป็นแผ่นบางๆ ทานคู่กับขนมปัง
Pietro Ferrero ขายขนมของเขาในราคาย่อมเยา เพื่อให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงช็อกโกแลตได้ ด้วยเหตุนี้ขนมของเขาจึงขายดีเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นไม่นานเขาจึงชวนน้องชายของเขาชื่อ Giovanni Ferrero (โจวันนี เฟอร์เรโร) ผู้เคยทำธุรกิจค้าส่งอาหารมาร่วมกิจการด้วย และก่อตั้งบริษัท Ferrero ขึ้นมาในปี 1946
จาก Giandujot สู่ Nutella และการขยายอาณาจักร (ค.ศ. 1949 - 1969)
แต่ Pietro Ferrero ยังไม่ทันได้เห็นแบรนด์ของเขาประสบความสำเร็จ เขาก็เสียชีวิตลงในปี 1949 ด้วยอาการหัวใจวาย ด้วยเหตุนี้น้องชายของเขาจึงต้องบริหารธุรกิจต่อเพียงผู้เดียว และในปี 1957 Giovanni ก็เสียชีวิตลงไปอีกคนด้วยอาการหัวใจวายเช่นเดียวกัน ดังนั้น Michele Ferrero (มิเคเล เฟอร์เรโร) ลูกชายของ Pietro จึงเข้ามารับช่วงต่อ
ในปี 1962 Michele Ferrero พัฒนาสูตรขนมดั้งเดิม โดยเพิ่มโกโก้ และเนยลงไป เปลี่ยนจากขนมหวานมาเป็นช็อกโกแลตสเปรดที่มาในรูปแบบขวดโหล เรียกว่า Nutella (นูเทลล่า) ซึ่งหลังจากเปิดตัวแบรนด์ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากทำให้ Nutella กลายเป็นที่รู้จักโด่งดังไปทั่วโลก (ปัจจุบันโรงงานของ Ferrero สามารถผลิต Nutella ออกมาได้มากถึง 365,000 ตัน หรือ 365,000,000 กิโลกรัมต่อปี)
หลังจากนั้นไม่นาน Michele Ferrero ก็ขยายกิจการเข้าสู่ตลาดเยอรมัน ซึ่งบริษัทได้เปลี่ยนโรงงานผลิตขีปนาวุธของนาซีให้กลายเป็นโรงงานผลิตขนมหวาน และต่อมาเขาก็ขยายกิจการไปยังเบลเยียม ออสเตรีย และฝรั่งเศส
ต่อมาในปี 1969 Michele เปิดตัวช็อกโกแลตแบบแท่งสอดไส้นมในชื่อ Kinder (คินเดอร์) ขึ้นมาโดยวางกลุ่มเป้าหมายไปที่เด็กๆ และภายหลังเขาก็เกิดไอเดียนำช็อกโกแลตมาทำเป็นรูปไข่ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเทศกาลอีสเตอร์แล้วซ่อนของเล่นชิ้นเล็กๆ ไว้ข้างใน เรียกว่า Kinder Surprise (คินเดอร์ เซอร์ไพรส์) ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ทำให้ช็อกโกแลตรูปไข่ของเขากลายเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ ทั่วโลก
Kinder Surprise เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใส่นมเยอะที่สุดในทุกผลิตภัณฑ์ของ Ferrero เพราะ Michele เชื่อว่าพ่อแม่ของเด็กๆ น่าจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนมมากว่าปกติให้ลูกๆ ทาน
Ferrero Rocher และการส่งต่อสู่รุ่นที่ 3 (ค.ศ. 1982 - ปัจจุบัน)
เมื่อเวลาผ่านไปในปี 1982 บริษัท Ferrero ก็ประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้ง ด้วยการเปิดตัว Ferrero Rocher (เฟอร์เรโร รอชเชอร์) ช็อกโกแลตที่ห่อด้วยกระดาษฟอยล์สีทองหรูหราที่ทุกคนคุ้นเคย ทำมาจากช็อกโกแลตผสมกับเฮเซลนัท ห่อหุ้มด้วยเปลือกเวเฟอร์กรุบกรอบ ซึ่งช็อกโกแลตรูปแบบนี้นับว่าเป็นไลน์ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาแพงที่สุดของแบรนด์
นับตั้งแต่เปิดตัว Ferrero Rocher ก็ได้ดึงดูดผู้ชื่นชอบช็อกโกแลตทั่วโลกด้วยรสชาติและการนำเสนอที่หรูหรา ผู้คนมักจะซื้อไปเป็นของขวัญในเทศกาลต่างๆ เช่น คริสต์มาส วันขึ้นปีใหม่ ไปจนถึงวันวาเลนไทน์ ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่ และขยายการเข้าถึงไปกว่า 170 ประเทศทั่วโลก
ในเวลาต่อมา Ferrero ก็ถูกส่งต่อกิจการมายัง รุ่นที่ 3 นั่นก็คือรุ่นลูกของ Michele เขามีลูกชาย 2 คนชื่อ Pietro และ Giovanni (ตั้งชื่อตามพ่อและอาของเขา) โดยทั้งสองเข้ามารับช่วงกิจการต่อจาก Michele ในปี 1997 โดย Pietro ดูแลด้านการผลิต และ Giovanni ดูแลด้านการตลาดและการเงินของบริษัท
ในปี 2011 ครอบครัว Ferrero ก็พบกับความโศกเศร้าครั้งใหญ่อีกครั้ง เนื่องจาก Pietro ได้เสียชีวิตลงด้วยภาวะหัวใจวายขณะปั่นจักรยานอยู่ที่แอฟริกาใต้ แต่ถึงกระนั้นความโศกเศร้าของครอบครัว Ferrero ก็ยังไม่จบลง เพราะในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปี 2015 ซึ่งเป็นวันวาเลนไทน์ Michele Ferrero ได้เสียชีวิตลงในวัย 89 ปี ด้วยเหตุนี้ผู้คนนับหมื่นคนจึงมาร่วมไว้อาลัยให้กับเขาเป็นครั้งสุดท้ายในเมือง Alba เพราะการสูญเสียในครั้งนี้นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาวอิตาลีเช่นกัน
แม้บริษัทจะเผชิญกับความสูญเสียแต่ทุกวันนี้ Ferrero ก็ยังคงเป็นแบรนด์ที่โดดเด่นในโลกของขนมหวานที่คนทั่วโลกให้การยอมรับ ภายใต้การนำของ Giovanni Ferrero ซึ่งธุรกิจยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ครอบครัว Ferrero กลายเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในอิตาลี และติดท็อป 50 ผู้ร่ำรวยที่สุดในโลกอีกด้วย