แชร์

Scone (สโคน)

ในช่วงบ่ายของอังกฤษ กลิ่นหอมกรุ่นของชาชั้นดีจะเริ่มลอยฟุ้งขึ้นมาผสมผสานกับบรรยากาศอันแสนอบอุ่น ซึ่งภาพเหล่านี้ล้วนเป็นภาพคุ้นเคยของ วัฒนธรรมการจิบชายามบ่าย (Afternoon Tea) ของชาวอังกฤษ แต่เสน่ห์ของการจิบชายามบ่ายไม่ได้อยู่แค่การดื่มชาเท่านั้น เพราะอาหารว่างที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ Scone (สโคน) ขนมอบเนื้อร่วนซุยที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งจะช่วยเสริมให้การจิบชายามบ่ายนั้นมีความสมบูรณ์และน่ารื่นรมย์มากยิ่งขึ้น วันนี้ Rimping Supermarket จะพาคุณไปย้อนรอยประวัติศาสตร์และทำความรู้จักกับสโคนให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นค่ะ

ต้นกำเนิดที่คลุมเครือ: จาก "Bannocks" ในสกอตแลนด์สู่สโคนแห่งศตวรรษที่ 16

ต้นกำเนิดที่แท้จริงของ Scone นั้นค่อนข้างคลุมเครือ แต่เชื่อกันว่ามีจุดเริ่มต้นใน สกอตแลนด์ช่วงยุคกลางราวศตวรรษที่ 16 ซึ่งในอดีต Scone จะเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Bannocks (แบนน็อกส์) ซึ่งมีความแตกต่างจากสโคนในปัจจุบันตรงที่ Bannocks ในยุคนั้นจะใช้ ข้าวโอ๊ต เป็นส่วนประกอบหลักในการทำแป้ง แทนที่จะเป็นแป้งสาลี และมีลักษณะเป็นก้อนกลมแบนขนาดใหญ่ ซึ่งในยุคนั้นมักจะอบในกระทะก้นแบนหรือบนแผ่นหินร้อนๆ แล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นสามเหลี่ยมคล้ายพิซซ่า มักเสิร์ฟพร้อมมื้ออาหารหลัก หรือเป็นของว่างง่ายๆ สำหรับชาวนาที่ต้องการพลังงาน

ต่อมา ในยุคถัดมา Scone ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยมีการเพิ่ม ผงฟู (baking powder) ลงไปในสูตร ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่สำคัญมากในยุคนั้น ด้วยเหตุนี้ Scone จึงเริ่มมีเนื้อสัมผัสที่เบาและฟูยิ่งขึ้น แตกต่างจาก Bannocks ที่มีความหนาแน่นกว่า นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มส่วนผสมสำคัญอื่นๆ เช่น เนย น้ำตาล และไข่ ลงไป จนในที่สุดก็ได้สูตรที่สมบูรณ์แบบ ทำให้ Scone กลายเป็นขนมหวานเนื้อนุ่มฟูที่เรารู้จักและชื่นชอบกันในปัจจุบัน

จุดเปลี่ยนสู่ความนิยม: จากความหิวของเจ้าหญิงสู่ Afternoon Tea

ในช่วง ศตวรรษที่ 19 Scone เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในวัฒนธรรมของชาวอังกฤษ ตำนานที่เล่าขานกันมาอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของ Afternoon Tea และความนิยมของ Scone เกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1840 โดย เจ้าหญิงแอนนา มาเรีย (Anna Maria, The Duchess of Bedford) ซึ่งมักจะรู้สึกหิวในช่วงบ่ายระหว่างรออาหารเย็น พระองค์จึงสั่งให้พ่อครัวจัดชุดชาพร้อมขนมปังและของว่างเบาๆ ให้ในตอนบ่ายราวๆ 4 โมงเย็น เพื่อจะได้บรรเทาอาการหิว

และหนึ่งในเมนูขนมปังที่พ่อครัวเตรียมให้ก็มี Scone อยู่ในนั้นด้วย เมื่อได้ลองชิม Scone เข้าไป เจ้าหญิงก็ติดใจในรสชาติและเนื้อสัมผัสเป็นอย่างมาก จนต้องจิบชาพร้อมกับ Scone ที่เสิร์ฟคู่กับ คล็อตครีม (Clotted Cream) และ แยมผลไม้ ในทุกๆ วัน หลังจากนั้น พระองค์ก็เริ่มชวนเพื่อนๆ มาทานด้วยกัน และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ การจิบชายามบ่าย กลายเป็นธรรมเนียมที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่ชนชั้นสูงและแพร่กระจายไปทั่วอังกฤษในเวลาต่อมา และแน่นอนว่า Scone ก็ได้รับความนิยมตามไปด้วย กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ขาดไม่ได้ของ Afternoon Tea

Scone ในมิติสากล: ความหลากหลายตามวัฒนธรรมท้องถิ่น

เมื่อเวลาผ่านไป Scone ก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วโลก และได้รับการปรับเปลี่ยนหลายอย่างเพื่อให้เหมาะกับรสนิยมและส่วนผสมในท้องถิ่นของแต่ละประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของขนมชนิดนี้:

ในสหรัฐอเมริกา: Scone มักจะมีรสหวานและเข้มข้นกว่าของอังกฤษ โดยจะมีการเพิ่มส่วนผสมใหม่ๆ ลงไป เช่น ช็อกโกแลตชิป ผลไม้แห้ง หรือถั่ว ทำให้มีรสชาติที่หลากหลายและเป็นของหวานที่นิยมทานกับกาแฟ

ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์: Scone มักเสิร์ฟมาพร้อมกับ แยมและวิปครีม คล้ายกับประเพณีของอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา Scone ในรูปแบบอาหารคาวที่สอดไส้ ชีส สมุนไพร หรือเบคอน อีกด้วย แต่ที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษคือ Pumpkin Scone (สโคนฟักทอง) ที่ทำมาจากซุปฟักทองและเครื่องเทศ มักเสิร์ฟเป็นรูปสามเหลี่ยมคล้ายกับ Scone ในยุคแรกสุด แล้วทานพร้อมกับกาแฟในยามเช้า

Scone ในปัจจุบัน: การพัฒนาที่ไม่หยุดยั้ง

ปัจจุบัน Scone ยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงอิทธิพลทางวัฒนธรรมที่หลากหลายและความคิดสร้างสรรค์ในการทำอาหาร มีตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คนในแต่ละยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นสโคนรสคาว สโคนรสหวาน หรือสโคนที่ทำจากแป้งชนิดต่างๆ ซึ่งนอกจากจะรับประทานในช่วงจิบชายามบ่ายแล้ว Scone ยังมักถูกเสิร์ฟในงานแต่งงาน อาหารมื้อสาย (Brunch) และโอกาสพิเศษอื่นๆ อีกด้วย

Scone จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ขนมอบธรรมดา แต่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมการจิบชายามบ่ายที่ยังคงมีชีวิตชีวาและเป็นที่รักของผู้คนทั่วโลก หากคุณอยากสัมผัสประสบการณ์การจิบชายามบ่ายแบบอังกฤษแท้ๆ หรือต้องการวัตถุดิบคุณภาพดีเยี่ยมสำหรับทำ Scone ที่ Rimping Supermarket เรามีสินค้าหลากหลายพร้อมตอบโจทย์ความต้องการของคุณ เพื่อให้คุณได้สร้างสรรค์ขนมอบแสนอร่อยนี้ได้ง่ายๆ ที่บ้านคุณเองค่ะ

Tags :

บทความที่เกี่ยวข้อง
Bone marrow (ไขกระดูก)
Bone marrow (ไขกระดูก) อาหารของมนุษย์ยุคหิน... กลายมาเป็นอาหารอันโอชะในยุคปัจจุบันได้อย่างไร?
Butter of gods (เนยไขกระดูก)
If God made butter it would taste exactly like bone marrow. - Anthony Bourdain
Purple Cauliflower (กะหล่ำดอกสีม่วง)
Purple Cauliflower (กะหล่ำดอกสีม่วง) และกะหล่ำดอกสีขาว: ไม่ได้ต่างกันแค่สี แต่ยังมีคุณค่าทางโภชนาการที่ต่างกันอีกด้วย
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ