แชร์

Rum (เหล้ารัม)

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ กระแสซีรีส์วันพีซ (One Piece) จากอนิเมะชื่อดังยังคงได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามจากผู้คนทั่วโลก ซึ่งในซีรีส์เรื่องนี้ได้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางของโจรสลัดที่แฝงไปด้วยวิถีชีวิตและวัฒนธรรม โดยเฉพาะในเรื่องของการกินดื่ม

มีอยู่ฉากหนึ่งในซีรีส์ที่ผู้กำกับให้ความสนใจแม้จะเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นั่นคือฉากที่ตัวละครนามิเดินไปสั่งเหล้ารัมในบาร์เพื่อมาดื่ม เพราะในวงการนักดื่มแล้วจะรู้กันดีว่า ถ้าหากมีโจรสลัด สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเหล้ารัม (Rum) ดังนั้นในซีรีส์จึงไม่พลาดที่จะหยิบเอาเหล้ารัม ซึ่งเป็นเครื่องดื่มคู่กายของโจรสลัดมาปรากฏอยู่ในเรื่องอย่างสมจริง

จุดกำเนิด: เมื่ออ้อยเดินทางสู่แคริบเบียน

เหล้ารัมเป็นหนึ่งในสุรากลั่นที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งของโลก ทำมาจากการกลั่นอ้อยหรือผลผลิตที่ได้มาจากอ้อย เช่น กากน้ำตาล น้ำตาล น้ำอ้อย และน้ำเชื่อม ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1493 เมื่อ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) นำอ้อยมาปลูกในหมู่เกาะเวสต์อินดีส แถบแคริบเบียน หลังจากนั้นชาวบ้านในหมู่เกาะจึงเริ่มปลูกอ้อยเพื่อผลิตน้ำตาลกันอย่างแพร่หลาย แต่อย่างไรก็ตามในยุคนั้นการผลิตเหล้ารัมยังไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่นัก เนื่องจากเทคนิคการกลั่นยังไม่แพร่หลาย

จนกระทั่งมีการค้นพบหมู่เกาะบาร์เบโดส (Barbados) ในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เหล้ารัมได้รับความนิยมอย่างก้าวกระโดด นักสำรวจ Richard Ligon (ริชาร์ด ไลกอน) ได้นำความเชี่ยวชาญด้านการกลั่นเหล้ามาเผยแพร่ในหมู่เกาะแห่งนี้ ทำให้ภายในเวลาไม่ถึง 10 ปี บาร์เบโดสก็กลายเป็นมหาอำนาจด้านน้ำตาลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก โดยมีอุตสาหกรรมส่งออกน้ำตาลและเหล้ารัมที่เจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว

จาก Kill Devil สู่ Rum: การเปลี่ยนแปลงของชื่อและยุคทองของอ้อย

ในยุคแรกๆ นี้การผลิตเหล้ารัมจะนิยมใช้กากน้ำตาล (Molasses) ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการผลิตน้ำตาล เพราะมีราคาถูก โดยเหล้ารัมในสมัยนั้นมักจะถูกเรียกว่า Kill Devil (คิลล์ เดวิล) เนื่องจากมีฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่สูงมากและรุนแรง และอีกชื่อหนึ่งของเหล้ารัมในสมัยนั้นคือ รัมบูลิยง (Rumbullion) ซึ่งเป็นคำสแลงในภาษาฝรั่งเศสที่หมายถึงอาการโวยวายขณะเมาหัวราน้ำ และต่อมารัมบูลิยงจึงถูกเรียกสั้นๆ เพียงแค่ รัม (Rum) เท่านั้น ทำให้ชื่อนี้กลายเป็นชื่อที่เรารู้จักกันมาถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อการเพาะปลูกอ้อยเริ่มแพร่หลายในภูมิภาคแห่งนี้ ชาวยุโรปที่ย้ายถิ่นฐานมาก็เริ่มหันมาทำเงินกับอุตสาหกรรมไร่อ้อยกันมากขึ้น โดยอ้อยจากไร่ของชาวยุโรปจะถูกนำไปผลิตเป็นน้ำตาล จากนั้นก็จะนำไปผลิตเป็นเหล้ารัมต่อ ทำให้การผลิตอ้อยและน้ำตาลในยุคนี้เฟื่องฟูเป็นอย่างมาก จนถูกเรียกว่าเป็น ยุคตื่นทองคำขาว (White Gold Rush) สะท้อนถึงมูลค่ามหาศาลของน้ำตาลในยุคนั้น

รัมกับการค้าทาส: หน้าประวัติศาสตร์ที่โหดร้าย

ในยุคถัดมา เมื่อการทำไร่อ้อยก่อให้เกิดผลกำไรและเงินทองจำนวนมหาศาล จึงเกิดการค้าทาสตามมา โดยทาสจากแอฟริกาจะถูกส่งมาเพื่อเป็นแรงงานในไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาล ซึ่งทาสเหล่านี้จะถูกกดขี่ข่มเหง เพื่อใช้งานอย่างหนักหน่วง ไร้ซึ่งมนุษยธรรม นอกจากนี้ พวกเขายังถูกส่งเสริมให้ติดเหล้า เพื่อให้อดทนต่อความยากลำบากในแต่ละวัน และเพื่อควบคุมพวกเขาอีกด้วย

เมื่อความต้องการแรงงานทาสมีเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้เกิดการเดินเรือสำหรับขนส่งทาสตามมา ซึ่งมีทั้งการซื้อขายหรือไม่ก็ลักพาตัวมาจากแอฟริกา โดยสิ่งที่ใช้แลกเปลี่ยนกับแรงงานทาสก็คือ เหล้ารัม ทำให้ยุคนี้เรือแทบทุกลำโดยเฉพาะเรือของโจรสลัดจะมีเหล้ารัมติดอยู่บนเรือจำนวนมาก จึงเป็นที่ทราบกันดีว่ายุคนี้เป็นยุคแห่งการค้าทาสที่โหดเหี้ยมมาก เพราะชีวิตทาสหนึ่งคนมีค่าเท่ากับเหล้ารัมเพียงไม่กี่ขวดเท่านั้น สะท้อนให้เห็นถึงความต่ำต้อยของชีวิตมนุษย์ในยุคนั้น

รัมกับโจรสลัด: คู่หูแห่งท้องทะเล

ในยุคแห่งโจรสลัด เหล้ารัมถือเป็นเครื่องดื่มที่มีค่ามาก เพราะนอกจากทองคำและอัญมณีแล้ว โจรสลัดมักจะปล้นเหล้ารัมมาจากเรือของพ่อค้า แล้วปันส่วนให้กับลูกเรืออย่างยุติธรรม เนื่องจากเหล้ารัมในยุคนั้นเปรียบเสมือนกับเงินตรา เป็นสมบัติล้ำค่าในหมู่โจรสลัด ทั้งยังมีข้อดีอีกหลายประการที่โจรสลัดชื่นชอบ นั่นคือ:

  • ผลิตได้ค่อนข้างง่าย: วัตถุดิบมีอยู่มากในแคริบเบียน
  • ไม่เสียเร็ว: ต่างจากน้ำหรือเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่อาจเสียเมื่ออยู่บนเรือนานๆ
  • ปริมาณแอลกอฮอล์สูง: ช่วยเสริมสร้างจิตวิญญาณของการเป็นโจรสลัดได้เป็นอย่างดี และช่วยบรรเทาความเจ็บปวดหรือความหวาดกลัว
  • เหมาะสำหรับชายที่ใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยอันตรายและการผจญภัย: เป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงานและสร้างขวัญกำลังใจ

ด้วยเหตุนี้เองเหล้ารัมจึงกลายเป็นตำนานเครื่องดื่มแห่งยุคโจรสลัด เป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ ความเป็นอิสระ และชีวิตในท้องทะเล

การแพร่กระจายและบทบาทในประวัติศาสตร์อเมริกา

เมื่อเวลาผ่านไปราวๆ ศตวรรษที่ 18 เหล้ารัมก็เริ่มแพร่กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ โดยการเดินทางผจญภัยของโจรสลัด เพราะนอกจากจะปล้นแล้ว พวกเขายังนำวัฒนธรรมการดื่มเหล้ารัมไปเผยแพร่ด้วย ทำให้ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทั้งแคริบเบียนและอเมริกาใต้ เริ่มผลิตเหล้ารัมกันอย่างแพร่หลาย จนไม่ช้าเหล้ารัมก็เริ่มได้รับความนิยมและผลิตในแถบอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะในแถบนิวอิงแลนด์ ได้แก่ รัฐคอนเนตทิคัต, รัฐนิวแฮมป์เชียร์, รัฐเมน, รัฐแมสซาชูเซตส์, รัฐโรดไอแลนด์ และรัฐเวอร์มอนต์

หลังจากที่นิวอิงแลนด์เริ่มผลิตรัมเป็นของตัวเองได้ไม่นาน พวกเขาก็หันไปซื้อขายกากน้ำตาลจากหมู่เกาะที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส (เดิมทีจะซื้อขายจากอังกฤษ) เนื่องจากกากน้ำตาลในฝรั่งเศสมีราคาถูกกว่ามาก เพราะฝรั่งเศสไม่ได้สนใจเหล้ารัม แต่พวกเขาต้องการส่งเสริมการผลิตบรั่นดี (Brandy) จากองุ่นของตนเอง ดังนั้นฝรั่งเศสจึงสามารถส่งออกกากน้ำตาลได้ในราคาถูก

ด้วยเหตุนี้เองทำให้อังกฤษต้องสูญเสียรายได้และผลประโยชน์มหาศาล พวกเขาจึงออกกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมขึ้นมา ซึ่งก็คือ กฎหมายกากน้ำตาล หรือ Molasses Act (1733) ที่กีดกันไม่ให้มีการขนส่งกากน้ำตาลจากประเทศฝรั่งเศสมายังอาณานิคมของอังกฤษ และเมื่ออังกฤษออกกฎหมายดังกล่าวขึ้นมา จึงเกิดเป็นความขัดแย้งอย่างรุนแรง ซึ่งชาวนิวอิงแลนด์ต่างก็รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมอย่างมาก ทำให้ละเลยกฎหมายดังกล่าวและลักลอบนำเข้ากากน้ำตาลจากหมู่เกาะของฝรั่งเศสอยู่เช่นเคย ด้วยเหตุนี้จึงก่อให้เกิดรอยร้าวระหว่างอาณานิคมกับอังกฤษ กลายเป็นหนึ่งในชนวนสำคัญที่นำไปสู่ยุคแห่งการปฏิวัติอเมริกา (American Revolution) แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสงครามปะทุขึ้นเหล้ารัมก็ยังคงเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้รับความนิยมอยู่ดีในหมู่ทหารและประชาชน

เมื่ออังกฤษยอมจำนนในปี ค.ศ. 1781 ก็มีการก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา โดยในช่วงเวลานี้การผลิตกากน้ำตาลต้องหยุดชะงัก อีกทั้งน้ำตาลก็ยังมีราคาสูง ทำให้วัตถุดิบในการผลิตเหล้ารัมขาดแคลน การผลิตเหล้ารัมจึงถูกลดบทบาทลงไปโดยปริยาย ทำให้ผู้ตั้งถิ่นฐานในอเมริกาหันมาผลิตวิสกี้ซึ่งใช้ธัญพืชเป็นวัตถุดิบหลักแทน เพราะหาได้ง่ายกว่าและมีราคาถูกกว่า

เหล้ารัมในปัจจุบัน: การกลับมาผงาดอีกครั้ง

ถึงแม้ประวัติศาสตร์ของเหล้ารัมจะถูกเจือไปด้วยเรื่องราวที่เลวร้าย ทั้งการค้าทาสและความขัดแย้งทางการเมือง แต่เมื่อเวลาผ่านไปเครื่องดื่มชนิดนี้ก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง เมื่อกากน้ำตาลกลายเป็นสินค้าราคาถูกและเทคนิคการกลั่นพัฒนาไปไกลขึ้น โดยชาวอเมริกันในยุคต่อมา เห็นว่าเหล้ารัมสามารถสร้างเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ได้ จึงหันมาผลิตเหล้ารัมกันอีกครั้ง โดยผลักดันให้เหล้ารัมกลายมาเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แถวหน้าของอเมริกา จนทุกวันนี้เหล้ารัมได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ไม่เพียงแค่ในอเมริกาและยุโรปเท่านั้น แต่ยังได้รับความนิยมไปทั่วโลก เป็นส่วนหนึ่งของค็อกเทลคลาสสิกมากมาย และเป็นสัญลักษณ์ของจิตวิญญาณแห่งการผจญภัยที่ยังคงอยู่



บทความที่เกี่ยวข้อง
Cognac (คอนญัก) และ Brandy (บรั่นดี)
Cognac (คอนญัก) และ Brandy (บรั่นดี) ต่างกันอย่างไร
Soju (โซจู) และ Shochu (โชจู)
ไขข้อสงสัย Soju (โซจู) และ Shochu (โชจู) แตกต่างกันอย่างไร? เปิดตำนานเครื่องดื่มแห่งเอเชียตะวันออก
Sake (สาเก)
ย้อนรอยประวัติศาสตร์ Sake (สาเก) เครื่องดื่มหลักประจำชาติแห่งแดนอาทิตย์อุทัย: จากพิธีกรรมสู่เครื่องดื่มระดับโลก
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ