แชร์

Banoffee (บานอฟฟี่)

บานอฟฟี่ เป็นขนมหวานที่ค่อนข้างใหม่เมื่อเทียบกับขนมคลาสสิกอื่น ๆ แต่กลับสามารถครองใจผู้คนทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว โดยเรื่องราวของ บานอฟฟี่ (Banoffee) นั้นเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 1971 ถูกคิดค้นโดย Ian Dowding พ่อครัว และ Nigel McKenzie เจ้าของร้าน The Hungry Monk ในเมือง Jevington รัฐ East Sussex ของประเทศอังกฤษ ซึ่งเดิมทีเป็นเพียงเมนูประจำสัปดาห์ที่กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก

กำเนิดบานอฟฟี่: จาก "บลัมส์ คอฟฟี่ ทอฟฟี่ พาย" สู่ชื่ออันเป็นเอกลักษณ์

กล่าวกันว่าสูตรของบานอฟฟี่ในปัจจุบันนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก พายบลัมส์คอฟฟี่ทอฟฟี่ (Blum's Coffee Toffee Pie) ของร้านอาหารแห่งหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ทีมผู้สร้างสรรค์ที่ The Hungry Monk ได้นำพายต้นฉบับมาปรับเปลี่ยนส่วนผสมจากแอปเปิลและส้มแมนดารินให้มาเป็นกล้วย ซึ่งเข้ากันได้ดีกับคาราเมลและครีมกว่ามาก และเรียกชื่อใหม่ว่า บานอฟฟี่ (Banoffee)

ชื่อของบานอฟฟี่นั้นมาจากการผสมผสานระหว่างคำว่า Banana (กล้วย) และ Toffee (ทอฟฟี่/คาราเมล) เข้าด้วยกันอย่างลงตัว เนื่องจากขนมหวานชนิดนี้มีส่วนผสมหลักคือกล้วยและคาราเมลที่ทำเอง เดิมทีในตอนแรกเจ้าของร้านหวังว่าจะให้เป็นอาหารประจำสัปดาห์เท่านั้น แต่รสชาติที่โดดเด่นและลงตัวทำให้มันได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนแพร่หลายไปทั่วโลกในเวลาอันรวดเร็วเกินความคาดหมาย

โครงสร้างและสูตรลับของความอร่อยที่ลงตัว

บานอฟฟี่ถือเป็นเบเกอรี่ที่มีความหลากหลายประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ที่สร้างสรรค์รสสัมผัสที่แตกต่างแต่ผสมผสานกันอย่างลงตัว

  • ฐานแครกเกอร์ (หรือบิสกิต) ที่บดละเอียดผสมเนย ให้ความกรุบกรอบและเป็นฐานรองรับที่สมบูรณ์
  • กล้วย หวานฉ่ำที่จัดเรียงอยู่บนฐาน
  • ซอสคาราเมล (ทอฟฟี่) หอมหวานเข้มข้น ทำจากนมข้นหวานที่เคี่ยวจนได้ที่ ให้รสชาติที่ลุ่มลึกและเป็นหัวใจสำคัญของบานอฟฟี่
  • วิปปิ้งครีม ตีขึ้นฟู นุ่มละมุนลิ้น ที่เป็นท็อปปิ้งอันสมบูรณ์แบบ

เมื่อรับประทานรวมกันแล้วจะได้รสชาติและเนื้อสัมผัสที่หลากหลาย ทั้งความกรอบจากฐาน ความนุ่มจากกล้วย ความหวานมันจากคาราเมล และความละมุนจากวิปปิ้งครีม เรียกได้ว่าเป็นส่วนผสมที่เข้ากันได้อย่างลงตัวมาก ๆ จนเป็นที่ชื่นชอบของคนทุกวัย โดยบานอฟฟี่สูตรนี้ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในตำราอาหาร The Deeper Secrets of the Hungry Monk ในปี 1974 และต่อมา ในปี 1997 ถูกพิมพ์ซ้ำในตำราอาหาร In Heaven with The Hungry Monk ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับของสูตรนี้ในวงการอาหาร

การเดินทางของบานอฟฟี่: จากอังกฤษสู่การเป็นที่ยอมรับทั่วโลก

เมื่อเวลาผ่านไปชื่อเสียงของบานอฟฟี่ก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว นักวิจารณ์อาหารต่างชื่นชมการผสมผสานส่วนผสมที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ทำให้บานอฟฟี่กลายเป็นส่วนหนึ่งของร้านกาแฟ ร้านอาหาร และครัวหลายแห่งทั่วสหราชอาณาจักรอย่างรวดเร็ว

ในปี ค.ศ. 1980 บานอฟฟี่ได้เดินทางกลับไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง ในฐานะขนมหวานรูปแบบใหม่ ด้วยรสชาติและเนื้อสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว บานอฟฟี่จึงสามารถเอาชนะใจคนอเมริกันได้อย่างง่ายดาย ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวนี้เป็นแรงผลักดันให้สูตรบานอฟฟี่ได้ไปปรากฏอยู่ในตำราอาหาร รายการโทรทัศน์ และนิตยสารต่าง ๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ยิ่งเพิ่มความนิยมและชื่อเสียงไปอีกขั้น ทำให้บานอฟฟี่กลายเป็นที่รู้จักและรักใคร่ในระดับสากล

บานอฟฟี่ในปัจจุบัน: ความหลากหลายไม่รู้จบและความสุขที่ไม่มีวันตกยุค

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาความนิยมของบานอฟฟี่ได้แพร่กระจายไปไกลกว่ายุโรปและอเมริกา ทำให้มีสูตรรูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย เชฟและนักอบขนมทั่วโลกต่างทดลองสร้างสรรค์บานอฟฟี่ในแบบของตัวเอง เช่น บางคนอาจจะเพิ่มชั้นของช็อกโกแลตเข้าไปเพื่อความเข้มข้นยิ่งขึ้น หรือทดลองนำบิสกิตประเภทใหม่ ๆ เข้ามาเป็นฐาน เช่น คุกกี้โอรีโอ หรือขนมปังขิง รวมไปถึงท็อปปิ้งด้วยวัตถุที่หลากหลาย เช่น ถั่วต่างๆ ผลไม้อบแห้ง ซอสคาราเมลเพิ่มเติม และอื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อสร้างสรรค์รสชาติและรูปลักษณ์ใหม่ๆ ให้ดึงดูดใจผู้บริโภค

ปัจจุบันบานอฟฟี่ยังคงเป็นเมนูขนมหวานสุดคลาสสิกที่คนทั่วโลกต่างก็ชื่นชอบ โดยเชฟหลายคนได้ทดลองทำบานอฟฟี่ในรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย เช่น รูปแบบมังสวิรัติ (vegan) ไปจนถึงรูปแบบปราศจากกลูเตน (gluten-free) ทำให้บานอฟฟี่สามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้หลากหลาย ไม่ว่าจะมีข้อจำกัดในการรับประทานหรือไม่ก็ตาม ซึ่งไม่เพียงแค่กระตุ้นต่อมรับรสเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนมารวมกันแบ่งปันรอยยิ้ม และสร้างความทรงจำดี ๆ บนโต๊ะอาหารอีกด้วย

การผสมผสานของรสชาติและเนื้อสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ ได้ดึงดูดใจผู้ที่ชื่นชอบขนมหวานเป็นอย่างมาก ทำให้บานอฟฟี่กลายเป็นขนมหวานที่ไม่มีวันตกยุคและยังคงสร้างความสุขให้กับคนทั่วโลกอยู่เรื่อยมา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม บานอฟฟี่ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความสุขและความเรียบง่ายที่ลงตัว


Tags :

บทความที่เกี่ยวข้อง
Jerky (เจอร์กี้)
ทำความรู้จัก Jerky (เจอร์กี้) จากอาหารที่เก็บไว้ทานเพื่อความอยู่รอด สู่ยุคที่เราอยู่รอดแต่ก็ยังอยากทาน
Margherita (มาร์การิตา)
ทำความรู้จัก Margherita (มาร์การิตา) ต้นกำเนิดพิซซ่าสมัยใหม่ถาดแรกของโลก
Poutine (ปูทีน)
ชวนรู้จัก Poutine (ปูทีน) มันฝรั่งทอดสไตล์แคนาดา
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ