แชร์

น้ำมันหมู vs. น้ำมันพืช

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับน้ำมันหมูและน้ำมันพืชกันอยู่บ่อยครั้ง ในขณะที่ผู้บริโภคบางกลุ่มยังเชื่อว่าน้ำมันหมูดีกว่าน้ำมันพืช และผู้บริโภคอีกกลุ่มก็ยังเชื่อว่าน้ำมันพืชดีกว่าน้ำมันหมู จนเกิดเป็นคำถามที่ว่าแล้วสรุปน้ำมันชนิดไหนใช้ดีกว่ากัน?

หากจะให้พูดตรง ๆ ว่าน้ำมันแบบไหนใช้ดีกว่ากัน คงเป็นคำตอบที่พูดยาก เพราะหลายคนอาจจะมีความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่นในยุคแรก ๆ ของอารยธรรมมนุษย์ น้ำมันหมูถือเป็นน้ำมันชนิดแรกของโลกที่มนุษย์นำมาใช้ในการประกอบอาหาร ก่อนที่น้ำมันจากพืชชนิดแรกของโลก ซึ่งก็คือน้ำมันงาจะถือกำเนิดขึ้นมาเสียอีก

ประวัติของน้ำมันหมู

ในสมัยโบราณผู้คนมักจะเลี้ยงหมู เพื่อใช้ในการประกอบอาหารและประโยชน์อื่น ๆ โดยไขมันจากหมูได้รับความนิยมอย่างมากในทวีปยุโรปและอเมริกา ซึ่งถูกนำมาใช้ทำอาหารหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นเมนูผัด ย่าง อบ หรือทอด โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 19 น้ำมันหมูกลายเป็นสินค้าหลักสำคัญในสหรัฐอเมริกา ด้วยการขยายตัวของอุตสาหกรรมเนื้อหมู น้ำมันหมูจึงกลายเป็นวัตถุดิบหลักสำคัญในครัวของชาวอเมริกัน ที่สามารถนำมาใช้ทดแทนเนยได้ รวมไปถึงใช้ในการผลิตสบู่และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบ

แต่อย่างไรก็ตามในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ความนิยมของน้ำมันหมูนั้นลดลงเป็นอย่างมาก และเริ่มไม่เป็นที่ชื่นชอบสำหรับผู้บริโภคบางกลุ่ม เนื่องจากผู้บริโภคเหล่านี้มีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ หลายคนจึงเริ่มหันไปใช้น้ำมันพืชแทนน้ำมันหมู ที่เชื่อกันว่าการบริโภคน้ำมันหมูจะส่งผลทำให้คอเลสเตอรอลในร่างกายนั้นสูงขึ้น จนกลายมาเป็นข้อถกเถียงกันในปัจจุบัน

น้ำมันหมู vs. น้ำมันพืช: ข้อดีและข้อเสีย

ผู้ที่ชื่นชอบน้ำมันหมูมักจะหยิบยกข้อดีในเรื่องกระบวนการผลิตน้ำมันหมูที่ไม่ต้องผ่านวิธีการผลิตที่ซับซ้อน มาจากธรรมชาติ จึงมีความปลอดภัยมากกว่า อีกทั้งยังกล่าวอีกว่าการใช้น้ำมันหมูจะทำให้อาหารมีกลิ่นหอม อร่อย น่ารับประทาน ต่างจากน้ำมันพืชที่ต้องผ่านการสกัดออกมาหลายขั้นตอน อาจมีสารเคมีปนเปื้อน จึงมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ

ในทางกลับกันผู้บริโภคที่คิดว่าน้ำมันพืชดีกว่า ก็ยืนยันด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า น้ำมันที่ได้จากพืชไม่มีคอเลสเตอรอล เป็นไขมันไม่อิ่มตัว จึงไม่ทำให้เสี่ยงต่อโรคเรื้อรังที่เกิดจากไขมันชนิดเลว (LDL) ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่าน้ำมันพืชมีความปลอดภัยต่อสุขภาพมากกว่าน้ำมันหมู ซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัว

อย่างไรก็ตามจากประเด็นดังกล่าวที่เป็นข้อถกเถียงกันมาตลอด นักวิจัยหลายท่านจึงออกมาให้ความรู้เกี่ยวน้ำมันหมูและน้ำมันพืชกันมากขึ้น โดยกล่าวว่าน้ำมันทั้ง 2 ชนิดต่างก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากพอ ๆ กัน อยู่ที่ว่าเราจะนำไปใช้งานอย่างไรให้เหมาะสมกับความต้องการของตัวเอง

โดยน้ำมันหมูจะประกอบไปด้วย ไขมันอิ่มตัว ซึ่งข้อดีของไขมันอิ่มตัว คือ มีจุดเกิดควันสูง (Smoke point) แม้จะโดนความร้อนสูงก็จะไม่กลายเป็นไขมันทรานส์ได้ง่าย ๆ (ไขมันตัวร้ายทำลายสุขภาพ) ส่วนข้อเสียของไขมันอิ่มตัว คือ หากรับประทานมากเกินไปจะทำให้คอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น แต่ทั้งนี้ไม่ได้มีเพียงน้ำมันหมูเท่านั้นที่มีไขมันอิ่มตัว แต่ไขมันจากนม เนย ชีส และจากพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าวก็มีไขมันอิ่มตัวด้วยเช่นกัน

ส่วน ไขมันไม่อิ่มตัว มีข้อดีคือ ร่างกายสามารถนำไปเผาผลาญได้ง่ายกว่า ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีในเลือด ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง รวมทั้งให้สารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างและรักษาเซลล์ในร่างกาย แต่ข้อเสียของไขมันไม่อิ่มตัว คือ มีจุดเกิดควันต่ำ (Smoke point) เมื่อโดนความร้อนสูงจะเปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์ได้ง่ายกว่าไขมันอิ่มตัว

จะเห็นได้ว่าทั้งน้ำมันหมูและน้ำมันพืชต่างก็มีประโยชน์กันคนละรูปแบบ ทั้งในแง่ของสรรพคุณและการนำไปใช้งาน ดังนั้นหากเราจะเลือกซื้อน้ำมันแต่ละชนิด ควรเลือกซื้อให้ตรงกับความต้องการของเราจะดีที่สุดค่ะ

Tags :

บทความที่เกี่ยวข้อง
Fish & Chips (ฟิช แอนด์ ชิปส์)
Fish & Chips (ฟิช แอนด์ ชิปส์) อาหารสุดเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่หยั่งรากฝังลึก จนกลายมาเป็นอาหารประจำชาติของประเทศอังกฤษ
hepherds and Cottage Pie (เชปเพิร์ดส์ และคอตเทจพาย)
ชวนรู้จัก Shepherds and Cottage Pie (เชปเพิร์ดส์ และคอตเทจพาย) : จากอาหารธรรมดาของคนเลี้ยงแกะ สู่การเป็นอาหารสุดหรูของผู้ดีอังกฤษ
Welsh Rarebit (เวลช์ แรร์บิท)
เจาะลึก Welsh Rarebit (เวลช์ แรร์บิท) : จากตำนานชีสอบเวลส์ สู่เมนูคลาสสิกของอังกฤษ
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ