Umeshu (อุเมะชู,梅酒)
ในวัฒนธรรมญี่ปุ่นมีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องของเครื่องดื่ม ซึ่งในบรรดาเครื่องดื่มเพื่อความรื่นรมย์ของญี่ปุ่นนั้น หลัก ๆ ไม่ได้มีแค่เหล้าสาเกหรือโชจูที่เรารู้จัก แต่ยังมี อุเมะชู (梅酒, Umeshu) หรือ เหล้าบ๊วย เป็นเครื่องดื่มขึ้นชื่ออีกด้วย ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและความสำคัญทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน
กำเนิดเหล้าบ๊วย: จากตำรับยาโบราณสู่เครื่องดื่มประจำบ้าน
เหล้าบ๊วยเป็นเครื่องดื่มเก่าแก่ของญี่ปุ่นที่มีประวัติยาวนานพอ ๆ กับเหล้าสาเก กล่าวกันว่าเมื่อ 300 ปี ก่อนคริสตกาลใน ยุคยาโยอิ (Yayoi) ชาวญี่ปุ่นได้รับเอาข้าว ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักในการทำสาเก มาพร้อมกับบ๊วยที่ใช้ทำเหล้าบ๊วยมาจากประเทศจีน แต่ในยุคแรก ๆ ยังไม่มีการนำบ๊วยมาทำเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีเพียงข้าวเท่านั้นที่ถูกนำมาทำเป็นสาเก
ต่อมาใน ยุคเอโดะ (ค.ศ. 1603-1867) เกษตรกรเริ่มปลูกบ๊วยกันมากขึ้นเพื่อใช้ทำยาชูกำลัง เนื่องจากผลบ๊วยได้รับการยกย่องอย่างสูงในด้านสรรพคุณทางยา โดยเชื่อกันว่ามีสรรพคุณในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ บำรุงร่างกาย และช่วยฟื้นฟูพละกำลัง จึงนำผลบ๊วยมาแปรรูปเป็นบ๊วยดอง เรียกว่า อุเมะโบชิ (Umeboshi, 梅干し) และอุเมะชู (เหล้าบ๊วย) เพื่อทำเป็นยาชูกำลังและเป็นการถนอมอาหาร เพราะบ๊วยเป็นผลไม้ที่มีแค่บางฤดูกาลเท่านั้น ดังนั้นในอดีตเหล้าบ๊วยจึงไม่ได้มีไว้เพื่อเป็นเครื่องดื่มรื่นรมย์ แต่เป็นที่นิยมใช้เป็นยาชูกำลังบำรุงสุขภาพ โดยส่วนใหญ่แล้วจะผลิตในวัดและศาลเจ้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในคุณประโยชน์ของบ๊วยที่มีมาแต่โบราณ
การเปลี่ยนผ่านจากยาชูกำลังสู่เครื่องดื่มสังสรรค์ยอดนิยม
เมื่อเวลาผ่านไปหลายศตวรรษจนมาถึง ยุคเมจิ (ค.ศ. 1868-1912) การรับรู้ของเหล้าบ๊วยก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ จากที่เคยเป็นเพียงยาชูกำลัง ก็เริ่มกลายมาเป็นเครื่องดื่มเพื่อความรื่นรมย์ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มซามูไรและขุนนาง ซึ่งเป็นชนชั้นสูงในสังคม แต่อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานี้กฎหมายยังคงห้ามไม่ให้ประชาชนทั่วไปผลิตเหล้าบ๊วยด้วยตนเอง จนกระทั่งในช่วงปลายยุคเมจิในปี 1962 กฎหมายได้รับการแก้ไข ทำให้ประชาชนทั่วไปสามารถผลิตเหล้าบ๊วยได้เองที่บ้าน (ภายใต้ข้อกำหนดบางประการ) ด้วยเหตุนี้เองเหล้าบ๊วยจึงกลายเป็นเครื่องดื่มเพื่อความรื่นรมย์ที่นำมาใช้ในการสังสรรค์และพิธีกรรมต่าง ๆ แพร่หลายในครัวเรือนญี่ปุ่นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวัน
กระบวนการทำเหล้าบ๊วยแบบดั้งเดิม: ศิลปะแห่งการบ่มเพาะ
ชาวญี่ปุ่นมักจะเริ่มทำเหล้าบ๊วยกันประมาณเดือนมิถุนายนของทุกปี เพราะเป็นช่วงที่บ๊วยกำลังเติบโตเต็มที่และมีคุณภาพดีที่สุดในการนำมาทำเหล้าบ๊วย ในการทำเหล้าบ๊วยปกติชาวญี่ปุ่นจะนำ ผลบ๊วยสีเขียวที่ยังไม่สุก มาหมักรวมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีแอลกอฮอล์บริสุทธิ์สูงแต่มีรสชาติกลาง ๆ หรืออ่อน เช่น โชจู สาเก เหล้ารัม บรั่นดี เตกิล่า และวอดก้า จากนั้นก็เติมน้ำตาลหรือน้ำผึ้งลงไป เพื่อให้เกิดกระบวนการสกัดรสชาติและความหวาน แล้วทำการหมักภายในโหลแก้วหรือภาชนะที่ปิดฝาสนิทเป็นระยะเป็นเวลา 6 เดือน ถึง 1 ปี จนได้เป็นเหล้าบ๊วยที่มีรสเปรี้ยวอมหวานกลมกล่อมและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว
แต่ถ้าหากต้องการหมักต่อหลังจากครบ 1 ปี ชาวญี่ปุ่นจะนิยมตักผลบ๊วยออกก่อน เพื่อไม่ให้สีของเหล้าบ๊วยที่หมักหลังจากช่วงเวลาดังกล่าวมีสีขุ่นเข้มและมีรสขมเกินไป ซึ่งอาจเกิดจากการสกัดสารแทนนินจากเมล็ดบ๊วยที่มากขึ้น ส่วนผลบ๊วยที่ถูกตักออกมาก็จะถูกนำไปล้างเพื่อประกอบเป็นอาหารต่อไป เช่น แยมบ๊วย บ๊วยกวน หรือใช้ในเมนูต่างๆ เพื่อไม่ให้เสียของ
การทำเหล้าบ๊วยนั้นแตกต่างจากเครื่องดื่มหมักประเภทอื่นอย่างเบียร์ ไวน์ และสาเก เนื่องจากเป็นการสกัดรสชาติมากกว่าการหมักอย่างสมบูรณ์ และสามารถทำได้ง่าย ๆ ไม่ต้องผ่านกระบวนการกลั่นหรือหมักด้วยส่วนผสมอย่างยีสต์ จุลินทรีย์ และโคจิ (Koji) ถึงแม้กระบวนการผลิตจะไม่เหมือนกัน แต่กล่าวกันว่าเหล้าบ๊วยสามารถอยู่ได้นานหลายปีและรสชาติจะดีขึ้นตามกาลเวลาเช่นเดียวกับวิสกี้หรือไวน์ชั้นดีชนิดอื่น ๆ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการบ่มที่น่าทึ่งและคุณค่าที่เพิ่มขึ้นเมื่อเก็บไว้นาน
เหล้าบ๊วยในวัฒนธรรมญี่ปุ่นและสู่สากล: มรดกที่มีชีวิตชีวา
ในวัฒนธรรมญี่ปุ่นมีประเพณีหนึ่งที่งดงามและเปี่ยมด้วยความหมาย คือการที่พ่อแม่มักจะทำเหล้าบ๊วยเป็นชุดของขวัญให้ลูกเมื่อตอนแรกเกิด แล้วจะหมักไว้เป็นเวลานานเพื่อดื่มพร้อมกันเป็นครั้งแรก เมื่อลูกมีอายุครบ 20 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่กฎหมายญี่ปุ่นอนุญาตให้ดื่มแอลกอฮอล์ได้ เป็นประเพณีที่แสดงถึงความรัก ความผูกพัน การรอคอย และการเฉลิมฉลองการเติบโตของลูกอย่างแท้จริง
เมื่อความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมในการถนอมอาหารมาถึง การผลิตเหล้าบ๊วยในรูปแบบโฮมเมดจึงเริ่มลดลงและมีการผลิตในเชิงพาณิชย์กันมากขึ้น บริษัทต่าง ๆ เริ่มผลิตเหล้าบ๊วยจำนวนมากเพื่อให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น มีหลากหลายยี่ห้อและรสชาติให้เลือกสรร
ในยุคสมัยใหม่เหล้าบ๊วยได้ก้าวข้ามพรมแดนของญี่ปุ่นและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในตลาดต่างประเทศ เนื่องจากอาหารและวัฒนธรรมญี่ปุ่นได้รับความนิยมไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นซูชิ ราเม็ง หรือแม้แต่เครื่องดื่มอย่างเหล้าบ๊วยเองก็ตาม ดังนั้นเหล้าบ๊วยจึงกลายเป็นสิ่งที่ต้องการสำหรับผู้ที่แสวงหารสชาติแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่แปลกใหม่และน่าสนใจในระดับสากล
ทุกวันนี้เหล้าบ๊วยมีรูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน มีการใช้บ๊วยหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งให้รสชาติและกลิ่นที่แตกต่างกัน จึงทำให้เหล้าบ๊วยแต่ละชนิดมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง เช่น บ๊วยพันธุ์ Nankou-ume ที่ให้รสชาติหอมหวานละมุน และนอกจากนี้เหล้าบ๊วยยังถูกใช้เป็นส่วนผสมในค็อกเทล ของหวาน และอาหารคาวอีกด้วย กล่าวกันว่ารสชาติที่หวานอมเปรี้ยวของเหล้าบ๊วยช่วยเพิ่มความโดดเด่นและมิติให้กับสูตรอาหารต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
คุณประโยชน์และข้อควรระวังในการบริโภค
ถึงแม้ทุกวันนี้หลายคนจะคุ้นเคยกับเหล้าบ๊วยในฐานะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อความรื่นรมย์ แต่อย่างไรก็ตามยังมีคนอีกจำนวนมากที่ดื่มเหล้าบ๊วยเพื่อบำรุงร่างกาย เนื่องจากเหล้าบ๊วยอุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย เช่น ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม และธาตุอื่น ๆ ที่สำคัญต่อร่างกาย ช่วยในเรื่องของการบำรุงกระดูกและหัวใจให้แข็งแรง ไม่เพียงเท่านั้นสารอาหารเหล่านี้ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยชะลอความแก่ ลดระดับคอลเลสเตอรอล และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดี
ในสมัยก่อนจะนิยมใช้เป็นยาแก้อาการคลื่นไส้ ปวดหัว หรือท้องผูกได้ เนื่องจากเหล้าบ๊วยนั้นมีฤทธิ์เป็นด่าง (alkaline) ซึ่งช่วยปรับสมดุลความเป็นกรดในร่างกาย ทั้งยังใช้เป็นเครื่องดื่มบรรเทาอาการเจ็บคอ ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย และสามารถบรรเทาอาการหวัดและอาการไอได้อีกด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ส่งต่อกันมาหลายร้อยปี
แต่อย่างไรก็ตาม การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ เช่น ทำให้ตับทำงานหนัก เสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่ ดังนั้นหากต้องการดื่มเพื่อบำรุงร่างกาย เราควรดื่มเหล้าบ๊วยในปริมาณที่พอเหมาะและหลีกเลี่ยงการขับรถหลังดื่ม เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุและความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะสุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากการบริโภคอย่างมีสติและพอดีเสมอ