Crème de Cassis (แครม เดอ กาซิส)
หากคุณเคยลิ้มรสค็อกเทลสีสวยอย่าง Kir หรือ Kir Royale หรือเคยใช้ลิเคียวร์สีแดงเข้มเป็นส่วนผสมในของหวาน คุณอาจจะคุ้นเคยกับ Crème de Cassis (แครม เดอ กาซิส) ลิเคียวร์ที่ทำจากแบล็คเคอแรนท์ มีแอลกอฮอล์ประมาณ 15-25% นิยมใช้ผสมค็อกเทล รวมถึงเป็นส่วนผสมในของหวานได้อีกด้วย แต่เบื้องหลังความหอมหวานและสีสันเย้ายวนนี้ มีประวัติศาสตร์อันยาวนานซ่อนอยู่ วันนี้ Rimping Supermarket จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Crème de Cassis ให้มากขึ้นค่ะ
จุดกำเนิดในแคว้นเบอร์กันดี : จากยาบำบัดสู่ลิเคียวร์
ต้นกำเนิดของ Crème de Cassis มีประวัติย้อนกลับไปใน ศตวรรษที่ 16 ที่แคว้นเบอร์กันดี ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ขึ้นชื่อเรื่องไวน์ชั้นเลิศ และมีสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยเหมาะสมต่อการปลูก แบล็คเคอแรนท์ (Blackcurrant) ซึ่งเป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่มีรสเปรี้ยวอมหวาน
ในตอนแรก แบล็คเคอแรนท์มักจะถูกปลูกเพื่อใช้เป็น ยารักษาโรคต่างๆ เนื่องจากเชื่อว่ามีคุณสมบัติทางยา แต่ในช่วงศตวรรษที่ 16 การผลิตสุราเริ่มเฟื่องฟูเป็นอย่างมากในฝรั่งเศส ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มมีการนำแบล็คเคอแรนท์มาสกัดทำลิเคียวร์
Auguste Denis Lagoute: ผู้สร้างสรรค์สูตร Crème de Cassis ที่สมบูรณ์แบบ
สูตรลิเคียวร์แบล็คเคอแรนท์ในช่วงแรกยังไม่มีความสม่ำเสมอ จนกระทั่งในปี 1841 Auguste Denis Lagoute (ออกุสต์ เดอนี ลากูต์) ผู้ผลิตเหล้าลิเคียวร์รายแรกของเมือง Dijon (ดีจง) ได้พัฒนาสูตรลิเคียวร์แบล็คเคอแรนท์ขึ้นมาให้มี เนื้อสัมผัสเนียนนุ่ม และรสชาติสม่ำเสมอ
Auguste ตั้งชื่อลิเคียวร์ชนิดนี้ว่า Crème de Cassis ซึ่งแปลตรงตัวว่า "ครีมแบล็คเคอแรนท์" แต่หลายคนมักเข้าใจผิดว่ามีส่วนผสมของนมอยู่ด้วยเนื่องจากชื่อมีคำว่า Crème ที่แปลว่าครีมในภาษาฝรั่งเศส แต่ทั้งนี้คำว่า Crème ใน Crème de Cassis นั้นหมายถึงเนื้อสัมผัสที่เป็นครีมข้นๆ (creamy texture) หรือความเข้มข้น ไม่ได้หมายถึงส่วนผสมของครีม เพราะลิเคียวร์แบล็คเคอแรนท์ไม่มีส่วนผสมของครีมอยู่ในนั้นเลย
หลังจากเปิดตัวสูตรของเขา ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้ผลิตรายอื่นๆ ในท้องถิ่นเริ่มหันมาผลิตลิเคียวร์แบล็คเคอแรนท์เป็นของตัวเองกันมากขึ้น
Kir: ค็อกเทลยอดนิยมที่ช่วยส่งเสริมชื่อเสียง
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 Crème de Cassis ได้รับความนิยมไปทั่วฝรั่งเศส ไม่เพียงแต่ในแคว้นเบอร์กันดีเท่านั้น แต่ยังแพร่กระจายไปยังภูมิภาคอื่นๆ ด้วย ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มชนชั้นสูง มักถูกเสิร์ฟเป็นเครื่องดื่มย่อยหลังอาหาร และผสมกับไวน์ขาวทำเป็นค็อกเทลยอดนิยมอย่าง Kir (เคียร์)
การเปิดตัวค็อกเทล Kir ช่วยส่งเสริมชื่อเสียงของลิเคียวร์ชนิดนี้ได้อย่างเป็นอย่างมาก โดยค็อกเทล Kir ตั้งชื่อตาม Félix Kir (เฟลิกซ์ เคียร์) นายกเทศมนตรีของเมือง Dijon ซึ่งเขาเป็นคนแรกที่ผสมไวน์ขาว Aligoté ของเบอร์กันดี กับ Crème de Cassis เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างสรรค์เครื่องดื่มที่สดชื่นและมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์
นอกจากนี้ในช่วงที่โรคระบาด Phylloxera (ไฟลล็อกเซรา) ซึ่งเป็นโรคที่ทำลายไร่องุ่นในฝรั่งเศส Crème de Cassis ยังกลายมาเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้รับความนิยมอีกด้วย เนื่องจากไวน์หาซื้อได้ยากขึ้น และผู้ผลิตไวน์รายอื่นๆ ก็เริ่มหันไปผลิตลิเคียวร์แบล็คเคอแรนท์กันมากขึ้น เพื่อทดแทนรายได้ที่หายไปจากธุรกิจไวน์
การคุ้มครองทางกฎหมายและ Crème de Cassis ในปัจจุบัน
ในศตวรรษที่ 20 Crème de Cassis ได้รับสถานะ Appellation d'origine contrôlée (AOC) ซึ่งเป็นการคุ้มครองภายใต้กฎหมายฝรั่งเศส กำหนดไว้ว่าเฉพาะลิเคียวร์แบล็คเคอแรนท์ที่ผลิตในภูมิภาคบางแห่ง และปฏิบัติตามวิธีการผลิตเฉพาะเท่านั้น จึงจะสามารถติดฉลากว่าเป็น Crème de Cassis ได้ การคุ้มครองทางกฎหมายนี้ช่วยรักษาคุณภาพ และความถูกต้องของ Crème de Cassis ไว้ได้ เช่นเดียวกับการคุ้มครองที่มอบให้กับแชมเปญ และผลิตภัณฑ์พิเศษในภูมิภาคอื่นๆ ของฝรั่งเศส
ปัจจุบัน Crème de Cassis ได้รับความนิยมไปทั่วโลก บาร์เทนเดอร์ยังคงทดลองใช้ Crème de Cassis เพื่อสร้างสรรค์เครื่องดื่มที่แปลกใหม่ เช่น Kir Royale ที่ผสม Crème de Cassis กับแชมเปญเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มความหรูหรา หรือ El Diablo ที่ผสม Crème de Cassis กับเตกีลา และ Ginger Beer เพื่อรสชาติที่แตกต่างออกไป
ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ และความหลากหลายในการนำไปใช้ ทำให้ Crème de Cassis เป็นลิเคียวร์ที่น่าค้นหาและเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการดื่มของฝรั่งเศสที่ยังคงได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย
คุณสามารถหาซื้อ Crème de Cassis คุณภาพดีได้ที่ริมปิงทุกสาขานะคะ!