แชร์

Carr's Crackers (คาร์ส แครกเกอร์)

อัพเดทล่าสุด: 15 ส.ค. 2025

ในโลกของขนมอบกรอบ มีแบรนด์ไม่กี่รายที่จะยืนหยัดผ่านกาลเวลามาได้อย่างยาวนานเกือบ 200 ปี พร้อมกับเรื่องราวที่น่าสนใจไม่แพ้รสชาติที่คุ้นเคย และหนึ่งในนั้นคือ Carr's Crackers (คาร์ส แครกเกอร์) แบรนด์แครกเกอร์เก่าแก่จากประเทศอังกฤษ ที่มีจุดเริ่มต้นจากเบเกอรี่เล็ก ๆ จนกลายเป็นหนึ่งในบริษัทเบเกอรี่ที่ใหญ่ที่สุด และเป็นผู้นำด้านการขายแครกเกอร์ในสหราชอาณาจักรยาวนานเกือบ 2 ศตวรรษ และในปัจจุบันมีการวางจำหน่ายไปทั่วโลก นอกจากขนม Signature อย่าง Table Water Crackers แล้ว ก็ยังมีแครกเกอร์ชนิดอื่น ๆ ให้เลือก เช่น Whole Wheat และ Rose Mary รวมไปถึงแครกเกอร์ที่มีเนื้อสัมผัสบางเบากว่าอย่าง Melts

จุดเริ่มต้นของผู้ประกอบการผู้บุกเบิก: Jonathan Dodgson Carr

Jonathan Dodgson Carr ผู้ก่อตั้งแบรนด์ เติบโตมาในครอบครัวที่ประกอบอาชีพค้าขายในเมือง Kendal ประเทศอังกฤษ เขาเข้ารับการฝึกเป็นคนทำขนมตั้งแต่อายุ 14 ปี ซึ่งปลูกฝังความรู้และทักษะด้านเบเกอรี่ให้กับเขา จนกระทั่งในปีค.ศ. 1831 Carr ตัดสินใจที่จะออกจากบ้านเพื่อไปสร้างธุรกิจของตัวเอง เขาเดินเท้าจากบ้านเกิดไปยังเมือง Carlisle ซึ่งเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำโรงโม่ และยังเป็นศูนย์กลางการเดินทางที่สำคัญเนื่องจากมีสถานีรถไฟขนาดใหญ่ ทำให้เล็งเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจ

Carr สร้างเบเกอรี่ขึ้นมาด้วยตัวเองซึ่งยังเป็นโรงโม่ในตัว ทำให้เขาสามารถทำการผลิตได้เองทั้งกลางวันและกลางคืน นอกจากการผลิตขนมปังแล้ว เขายังเริ่มต้นขายบิสกิตบรรจุในกระป๋องเพื่อรักษาความกรอบ ใช้ชื่อว่า Table Water Biscuit (ในปัจจุบันเรียกว่า Table Water Cracker) ซึ่งมีส่วนผสมเพียงแค่แป้งและน้ำ ไม่แต่งสีและกลิ่น นำไปอบจนกรอบในเตาอิฐแบบดั้งเดิม ซึ่งพัฒนามาจาก Ship biscuit ราคาถูกที่กะลาสีเรือพกติดตัวไปรับประทาน มีจุดเด่นที่การใช้น้ำแทนน้ำมันในส่วนผสม เพื่อให้สามารถเก็บไว้ได้นาน เหมาะกับการออกเรือเป็นเวลานาน

นวัตกรรมและการขยายธุรกิจของ Carr's

Carr ยังเป็นรายแรกที่ใช้เครื่องจักรไอน้ำในการผลิตบิสกิตหรือแครกเกอร์ ทั้งเครื่องผสมแป้งและเครื่องตัดแป้งให้เป็นรูปทรง ซึ่งเขาได้สร้างสรรค์ขนมอบเหล่านี้ให้มีรูปทรงที่แปลกตา และเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์จากขนมราคาถูกให้กลายเป็นของนำสมัย นอกจากนั้น การบรรจุกระป๋องยังทำให้ง่ายต่อการพกพาและขนส่ง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยในการกระจายสินค้า นอกจากนี้ เบเกอรี่ของ Carr ยังตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ ทำให้ถูกค้นพบจากผู้ที่สัญจรไปมาได้ไม่ยาก เมื่อธุรกิจขยายตัว ในปีค.ศ. 1836 เขาจึงก่อตั้งโรงงานผลิตแป้ง นอกจากจะเพื่อผลิตขนมแล้ว เขายังต่อยอดธุรกิจไปเป็นการขายแป้งอีกด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการขยายธุรกิจแบบครบวงจร

ภายในเวลาไม่นาน Table Water Crackers ก็กลายมาเป็นขนมที่มีชื่อเสียงไปทั่วสหราชอาณาจักร จนในปีค.ศ. 1841 แครกเกอร์ของ Carr ก็ได้รับการยอมรับจาก สมเด็จพระราชินี Victoria ให้ได้รับตรารับรองจากราชวงศ์ (Royal Warrant) ซึ่งหมายความว่าแครกเกอร์ของเขานั้นมีคุณภาพมากพอสำหรับครัวของพระราชวังนั่นเอง หลังจากได้รับรองจากราชวงศ์ซึ่งช่วยเพิ่มชื่อเสียง โรงงานของ Carr ก็สามารถผลิตแครกเกอร์ได้มากถึง 400 ตันต่อปี Table Water Crackers กลายเป็น Signature ของแบรนด์จนถึงปัจจุบัน และยังคงรักษาวิธีการผลิตแบบดั้งเดิมไว้ด้วย

Carr ผู้ประกอบการและนักสังคมสงเคราะห์

Carr เป็นคนที่เคร่งศาสนาและเป็นสมาชิกของ Quaker ซึ่งอยู่ในนิกายย่อยของศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ เขาไม่ได้เป็นเพียงนักธุรกิจ แต่ยังเป็นผู้ที่มีจริยธรรมสูงและให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ของพนักงาน เขาปกครองพนักงานภายในโรงงานกว่า 90 ชีวิตด้วยความเป็นกันเองเหมือนครอบครัว พร้อมปรับปรุงคุณภาพชีวิตทั้งด้านที่อยู่อาศัย การสร้างห้องสมุดสำหรับแรงงาน ปรับปรุงโรงพยาบาลในชุมชน รวมถึงเข้าร่วมขบวนการต่อต้านการค้าทาสอีกด้วย แสดงให้เห็นถึงบทบาทในฐานะนักสังคมสงเคราะห์ที่สำคัญในยุคนั้น

นอกจากนี้ Carr ยังมีบทบาทที่สำคัญในการต่อต้าน Corn Law ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการค้าขายข้าวและธัญพืชในสหราชอาณาจักรตั้งแต่ปี 1815 - 1846 และส่งผลให้ผลผลิตเหล่านี้มีราคาที่สูงอยู่เสมอ แม้ว่าจะทำให้เกษตรกรได้รับประโยชน์ แต่กฎหมายนี้กลับทำให้ค่าครองชีพของประชาชนทั่วไปสูงมากยิ่งขึ้นจนใช้ชีวิตได้ลำบาก หลังจากที่กฎหมายนี้ถูกยกเลิก Carr ก็กลายเป็นผู้นำเข้าข้าวสาลีคุณภาพสูงจากแคนาดารายแรกของอังกฤษด้วยราคาที่สมเหตุสมผล ซึ่งช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับการค้า

การเติบโตของอาณาจักร Carr's และการส่งต่อธุรกิจ

Carr ใช้เวลาเพียง 15 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งเบเกอรี่แห่งแรก ในการกลายเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ จากการเริ่มต้นด้วยแครกเกอร์เพียง 4 ประเภท เขาได้คิดค้นแครกเกอร์รูปแบบใหม่ ๆ มากถึง 70 ชนิดจนถึงปีค.ศ. 1860 แสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์และความสามารถในการขยายตลาด แม้ว่าตัวของ Carr จะเสียชีวิตในปีค.ศ. 1884 แต่ทายาททั้งสี่คนของเขาก็สามารถต่อยอดในด้านการผลิตได้เป็นอย่างดี และเพิ่มประเภทของแครกเกอร์ได้ถึง 128 รูปแบบ และมีพนักงานในบริษัททั้งหมด 1,000 คน ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ทายาทของ Carr จะมีความรู้ความสามารถในด้านการทำโรงงานและเบเกอรี่เป็นอย่างมาก แต่พวกเขาไม่มีความถนัดในด้านการทำธุรกิจและการโฆษณาเท่าที่ควร ในที่สุด Carr's Crackers ก็อยู่ภายใต้บริษัทใหญ่อย่าง Cavenham Foods ก่อนจะถูกขายให้บริษัทในปัจจุบันอย่าง United Biscuit ในปีค.ศ. 1972 และยังมีการทำการตลาดในอเมริกาผ่านบริษัท Kellogs ก่อนจะเริ่มผลิตและส่งออกไปทั่วโลก ทำให้ Carr's Crackers กลายเป็นแบรนด์ระดับสากลอย่างแท้จริง

Carr's Crackers ในปัจจุบัน: มรดกที่ยังคงอยู่

ในปัจจุบัน แม้ว่า Table Water Crackers จะไม่มีตราของราชวงศ์แล้ว แต่ก็ยังได้รับตราของเมือง Carlisle มาทดแทน เนื่องจากบทบาทที่สำคัญของแบรนด์ที่มีต่อเมืองและเป็นสัญลักษณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ส่วนโรงงานดั้งเดิมใน Carlisle แม้ว่าปัจจุบันจะถูกเปลี่ยนชื่อและมีการผลิตสินค้าให้กับแบรนด์อื่นด้วย แต่ชาวเมืองก็ยังคงเรียกโรงงานแห่งนี้ว่า Carr's เสมอมา ซึ่งสะท้อนถึงความผูกพันและประวัติศาสตร์อันยาวนานของแบรนด์ที่มีต่อชุมชน และยังเป็นหนึ่งในโรงงานผลิตแครกเกอร์เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ไม่เคยหยุดการผลิต ยืนยันถึงตำนานของ Carr's Crackers ที่ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงทุกวันนี้

Tags :

บทความที่เกี่ยวข้อง
ME CARE (มีแคร์)
ทำความรู้จัก ME CARE แบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมของประเทศไทย ที่มีมาตรฐานการผลิตจากประเทศเยอรมนี
Wisconsin Chees (วิสคอนซินชีส)
ทำความรู้จัก Wisconsin Cheese ชีสคุณภาพจากรัฐวิสคอนซิน ชีสที่ผลิตใน Americas Dairyland ดินแดนแห่งนมและชีสของสหรัฐอเมริกา
Phillips Foods (ฟิลลิปส์ ฟู้ดส์)
ทำความรู้จัก Phillips Foods (ฟิลลิปส์ ฟู้ดส์) แบรนด์อาหารทะเลที่โดดเด่นด้วยคุณภาพเนื้อปูระดับโลก
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ