แชร์

Saint-Nectaire (แซงต์-เนคแทร์)

Saint-Nectaire: มรดกชีสจากใจกลางฝรั่งเศส

"Saint-Nectaire" (แซงต์-เนคแทร์) เป็นชื่อของชีสฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงโด่งดังและมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 400 ปี ชีสชนิดนี้เป็นความภาคภูมิใจของแคว้น Auvergne (โอแวร์ญ) ทางตอนกลางของประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณภูเขา Massif du Sancy ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขา Monts-Dore ในเขต Puy-de-Dôme และ Cantal ภูมิภาคนี้โดดเด่นด้วยลักษณะทางภูมิประเทศที่เป็นภูเขาไฟเก่าแก่ ซึ่งทำให้มีทุ่งหญ้าอุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเลี้ยงวัวนมที่ให้วัตถุดิบคุณภาพสูงในการผลิตชีส

Saint-Nectaire จัดเป็นชีสกึ่งแข็ง (Semi-hard cheese) ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สังเกตได้ง่ายจากเปลือกนอกสีเทา ซึ่งปกคลุมด้วยเชื้อราธรรมชาติสีขาวอมเหลืองที่เกิดขึ้นระหว่างการบ่ม ส่วนเนื้อชีสมีสีครีมอ่อนนุ่ม มีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์คล้ายถั่วเฮเซลนัท หรือบางครั้งก็ให้กลิ่นหอมของดินจากภูเขาไฟที่สะท้อนถึงแหล่งกำเนิด รสชาติของชีสจะออกเค็มเล็กน้อย และที่พิเศษคือผิวของชีสจะมีลักษณะเฉพาะตัวจากการบ่มบนฟางข้าวไรย์ ซึ่งเป็นกรรมวิธีดั้งเดิมที่สืบทอดกันมา

จาก "ชีสข้าวไรย์" สู่ชีสโปรดของราชสำนัก

ในยุคกลาง Saint-Nectaire เป็นที่รู้จักกันในชื่อเรียบง่ายว่า Rye Cheese (ชีสข้าวไรย์) เนื่องจากมีการใช้ฟางข้าวไรย์ในการหมักบ่ม และในอดีต ชาวบ้านในพื้นที่มักใช้ชีสนี้เป็นส่วนหนึ่งของการจ่ายค่าภาษีให้กับเจ้าที่ดิน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของชีสชนิดนี้ในชีวิตประจำวันและเศรษฐกิจของชุมชน

ชื่อเสียงของชีส Saint-Nectaire เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างและก้าวเข้าสู่ชนชั้นสูงในศตวรรษที่ 17 เมื่อ Maréchal de France, Henri de La Ferté-Senneterre ได้นำชีสนี้ไปถวายแด่สมเด็จพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (Louis XIV) และเป็นที่โปรดปรานของพระองค์อย่างมาก

ด้วยเหตุนี้ ชีส Saint-Nectaire จึงถูกนำไปเสิร์ฟที่โต๊ะเสวยของพระองค์ ณ พระราชวังแวร์ซาย ซึ่งทำให้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในหมู่ขุนนางและชนชั้นสูงในราชสำนัก โดยมีบันทึกในปี ค.ศ. 1768 ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า หากมีการจัดงานเลี้ยงใหญ่ในแคว้น Auvergne จะต้องมีชีส Saint-Nectaire อยู่เสมอ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงสถานะอันโดดเด่นของชีสชนิดนี้ในงานสังคมชั้นสูง

การรวมกลุ่มเพื่อรักษาคุณภาพและสถานะ PDO

ในช่วงศตวรรษที่ 19 การผลิตชีส Saint-Nectaire เริ่มลดลง เนื่องจากการย้ายถิ่นฐานออกจากพื้นที่ชนบทและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านที่ยังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่ก็ยังคงรักษาการผลิตชีสนี้อย่างต่อเนื่อง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะรักษามรดกทางวัฒนธรรมนี้ไว้ และต่อมาในปี ค.ศ. 1935 ก็ได้มีการรวมกลุ่มผู้ผลิตขึ้น เพื่อรักษาคุณภาพและส่งเสริมการผลิตชีส Saint-Nectaire ให้ยั่งยืน

ความพยายามเหล่านี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เมื่อในปี ค.ศ. 1955 ชีส Saint-Nectaire ได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมาย AOC (Appellation d'Origine Contrôlée) หรือ การควบคุมแหล่งกำเนิด ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพและแหล่งกำเนิด และต่อมาในปี ค.ศ. 1966 ก็ได้รับการรับรอง Protected Designation of Origin (PDO) จากสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นการยกระดับการคุ้มครองให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยการคุ้มครองนี้เป็นการรับรองว่าชีส Saint-Nectaire จะต้องผลิตในพื้นที่ที่กำหนดอย่างเคร่งครัด และปฏิบัติตามกรรมวิธีการผลิตแบบดั้งเดิมทุกขั้นตอน เพื่อรักษาคุณภาพและเอกลักษณ์ของชีสไว้ได้อย่างสมบูรณ์

ปัจจัยสู่การรับรอง PDO: ความพิเศษที่ไม่สามารถเลียนแบบได้

พื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตชีส Saint-Nectaire นั้นมีจำกัดและเฉพาะเจาะจงอย่างยิ่ง โดยครอบคลุมทั้งหมด 72 หมู่บ้าน ซึ่ง 52 หมู่บ้านอยู่ในเขต Puy-de-Dôme และ 20 หมู่บ้านอยู่ในเขต Cantal รวมถึงหมู่บ้าน Saint-Nectaire ที่เป็นชื่อของชีสด้วย

เหตุผลสำคัญที่ทำให้ชีส Saint-Nectaire ได้รับการรับรอง Protected Designation of Origin (PDO) มาจากหลายปัจจัยหลักดังนี้:

  • แหล่งผลิตเฉพาะเจาะจง: Saint-Nectaire ต้องผลิตในพื้นที่ภูเขา Monts-Dore ในแคว้น Auvergne ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีลักษณะภูมิประเทศ ดิน และสภาพอากาศเฉพาะตัว ดินภูเขาไฟที่อุดมสมบูรณ์ส่งผลต่อคุณภาพของทุ่งหญ้า ซึ่งเป็นอาหารของวัวนม และท้ายที่สุดก็ส่งผลต่อคุณภาพน้ำนมและรสชาติชีสที่เป็นเอกลักษณ์
  • วัตถุดิบที่ควบคุมอย่างเข้มงวด: การผลิตชีสนี้ใช้น้ำนมวัวสดจากวัวที่เลี้ยงในทุ่งหญ้าภูเขาไฟที่อุดมสมบูรณ์เท่านั้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชีสมีรสชาติและกลิ่นเฉพาะตัวของ Saint-Nectaire ที่ไม่เหมือนใคร
  • วิธีการผลิตแบบดั้งเดิม: การผลิตชีสต้องเป็นไปตามขั้นตอนและมาตรฐานที่กำหนดอย่างเคร่งครัด เช่น การบ่มชีสบนฟางข้าวไรย์ การล้างผิวชีสด้วยน้ำเกลือเป็นประจำ และการบ่มในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม เพื่อรักษาคุณภาพและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์
  • การแบ่งแยกผลิตภัณฑ์: มีการกำหนดให้ชีสที่ผลิตจากฟาร์ม (ใช้น้ำนมดิบจากฟาร์มเดียว) และชีสที่ผลิตในโรงงาน (ใช้น้ำนมพาสเจอร์ไรซ์จากหลายฟาร์ม) ต้องติดฉลากที่แตกต่างกัน เพื่อรับรองความถูกต้องและความโปร่งใสของแหล่งที่มาและกรรมวิธีการผลิต

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ Saint-Nectaire จึงเป็นชีสที่มีคุณภาพสูง มีรสชาติและกลิ่นเฉพาะตัวที่ไม่สามารถเลียนแบบได้จากพื้นที่อื่น และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อรักษามรดกทางวัฒนธรรมและคุณภาพของชีสชนิดนี้ให้คงอยู่ตลอดไป

กรรมวิธีการผลิตและเคล็ดลับการจับคู่

การผลิตชีส Saint-Nectaire จะใช้นมวัวสด โดยมีทั้งแบบที่ผลิตจากฟาร์ม (ใช้น้ำนมดิบจากฟาร์มเดียว) และแบบที่ผลิตในโรงงาน (ใช้น้ำนมพาสเจอร์ไรซ์จากหลายฟาร์ม) โดยเฉลี่ยแล้วจะใช้น้ำนมประมาณ 13-14 ลิตรต่อการผลิตชีส Saint-Nectaire 1 ก้อน

หลังจากรีดนม ผู้ผลิตจะเติม Rennet (กลุ่มเอนไซม์ที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้นมจับตัวเป็นก้อน) เพื่อให้นมแข็งตัวเป็นลิ่ม จากนั้นจะตัดก้อนนมให้เป็นชิ้นเล็กๆ และกรองน้ำเวย์ (Whey) ออก หลังจากแยกน้ำเวย์ออกแล้ว ก้อนนมจะถูกนำไปอัดในแม่พิมพ์ทรงกลม จากนั้นห่อด้วยผ้าลินินและกดทับเป็นเวลา 12-24 ชั่วโมง เพื่อรีดน้ำส่วนเกินออกและขึ้นรูป ก่อนจะนำไปเก็บในห้องเย็นเพื่อทำให้แห้ง

ชีสจะถูกบ่มอย่างน้อย 28 วัน (โดยทั่วไปคือ 4-8 สัปดาห์) และในระหว่างนี้จะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด โดยมีการล้างผิวชีสด้วยน้ำเกลือและพลิกกลับด้านเป็นประจำ เพื่อให้เชื้อราธรรมชาติบนเปลือกพัฒนาได้อย่างเหมาะสมและเพื่อให้ชีสสุกทั่วถึง ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่ทำให้ได้ชีส Saint-Nectaire ที่สมบูรณ์แบบทั้งรสชาติและเนื้อสัมผัส

ปัจจุบัน ชีส Saint-Nectaire ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทั้งในฝรั่งเศสและต่างประเทศ ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และประวัติศาสตร์อันยาวนาน

ชีส Saint-Nectaire เหมาะกับการทานคู่กับไวน์ที่มีรสชาติกลมกล่อมและไม่แรงจนเกินไป เพื่อเสริมรสชาติของชีสให้โดดเด่นและกลมกลืนกันได้ดี โดยไวน์ที่แนะนำ ได้แก่:

  • ไวน์แดงอ่อน: เช่น Pinot Noir และ Beaujolais ซึ่งมีรสชาติไม่เข้มข้นเกินไป เหมาะกับชีสที่ผ่านการล้างผิวและมีรสกลมกล่อมแบบ Saint-Nectaire
  • ไวน์ขาวพันธุ์ Chardonnay: ที่มีความสดชื่นและบอดี้กลางๆ ช่วยเสริมกลิ่นหอมและรสชาติของชีสได้อย่างลงตัว
  • ไวน์แดงที่มีความนุ่มนวล ไม่ฝาดจัด: เช่น ไวน์แดงจากองุ่น Gamay ก็เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับจับคู่กับชีสชนิดนี้

    โดยทั่วไป การจับคู่ไวน์กับ Saint-Nectaire ควรเลือกไวน์ที่ไม่แรงหรือหนักเกินไป เพื่อให้รสชาติของชีสและไวน์ช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพิ่มความอร่อยและประสบการณ์การรับประทานที่สมบูรณ์แบบ

บทความที่เกี่ยวข้อง
Eomuk (어묵, ออมุก)
ทำความรู้จัก Eomuk (어묵, ออมุก) อาหารพื้นบ้านที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และมีความสำคัญในวัฒนธรรมการกินของชาวเกาหลี
Sole Filet (โซล ฟิเล่ต์)
ทำความรู้จัก Sole Filet (โซล ฟิเล่ต์) อาหารฝรั่งเศสสุดคลาสสิกจากภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง Julie & Julia (2009)
Sausages with Sauerkraut (ซอสเสจเจส วิท ซาวเออร์-เคราท์)
ทำความรู้จัก Sausages with Sauerkraut (ซอสเสจเจส วิท ซาวเออร์-เคราท์) ไส้กรอกและกะหล่ำปลีดองอาหารขึ้นชื่อของชาวเยอรมัน
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ