Songpyeon (ซงพยอน, 송편)
Songpyeon (ซงพยอน, 송편) เป็นขนมที่จัดอยู่ในกลุ่มต็อก มีรูปร่างคล้ายพระจันทร์เสี้ยว ซึ่งตามตำนานในสมัยสามก๊กของเกาหลีเชื่อว่ารูปทรงนี้เป็นสัญลักษณ์ของการเจริญเติบโต โดยขนมชนิดนี้มีไส้ให้เลือกหลากหลาย เช่น งา ถั่วแดงกวน เกาลัด ถั่วเขียว และน้ำผึ้ง จากนั้นจึงนำไปนึ่งบนชั้นของใบสน ทำให้มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์
ปัจจุบันร้าน Songpyeon และร้านขนมเกาหลีได้คิดค้นรสชาติใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดผู้บริโภครุ่นใหม่ เช่น ไส้ช็อกโกแลต ไส้ครีม ไส้ผลไม้ หรือแม้กระทั่งไส้ไอศกรีม แต่ถึงอย่างนั้น ในช่วงเทศกาลชูซอก Songpyeon รสชาติดั้งเดิมก็ยังคงเป็นที่นิยมมากที่สุด
ต้นกำเนิดในสมัยราชวงศ์โครยอ
ต้นกำเนิดของ Songpyeon มีประวัติย้อนกลับในสมัยราชวงศ์โครยอ (ค.ศ. 918-1392) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่วัฒนธรรมเกาหลีเริ่มมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และแยกตัวออกจากอิทธิพลของจีน โดยบันทึกทางประวัติศาสตร์ระบุว่าผู้คนในยุคนั้นมักทำ Songpyeon ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติ และนำไปแจกจ่ายให้แก่คนในครัวเรือน เพื่อแสดงความเมตตา และสร้างความสัมพันธ์อันดีอิทธิพลจากพระพุทธศาสนาในยุคโครยอ
ในสมัยราชวงศ์โครยอ พระพุทธศาสนาได้รับความนิยมอย่างมาก ทำให้วัดต่าง ๆ กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตขนมหลากหลายชนิด รวมถึง Songpyeon ด้วย นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Songpyeon แพร่หลาย และมีการพัฒนาสูตรใหม่ ๆ เนื่องจากพระสงฆ์มีความเชี่ยวชาญในการประกอบอาหาร และมีเวลาในการทดลองสูตรตำนานความขัดแย้งระหว่างอาณาจักร
หนึ่งในตำนานที่น่าสนใจเกี่ยวกับกำเนิดของ Songpyeon มาจากเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างอาณาจักรแพคเจ และอาณาจักรซิลลา ตามตำนานกล่าวว่ามีผู้ทำนายได้พยากรณ์ถึงความเสื่อมของอาณาจักรแพคเจ และความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรซิลลา เรื่องนี้ได้แพร่กระจายไปในอาณาจักรซิลลา ทำให้ผู้คนเริ่มทำขนมรูปพระจันทร์เสี้ยว เพื่อสวดอ้อนวอนขอให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง ซึ่งขนมเหล่านี้กลายเป็นต้นกำเนิดของ Songpyeon ในปัจจุบันความหมายเชิงสัญลักษณ์ของพระจันทร์เสี้ยว
ความหมายเชิงสัญลักษณ์ของรูปทรงพระจันทร์เสี้ยวมีความสำคัญอย่างยิ่งในวัฒนธรรมเกาหลี รูปทรงนี้สื่อถึงความหวัง ความสมบูรณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง เช่นเดียวกับพระจันทร์ที่ค่อย ๆ เต็มดวงในคืนวันเพ็ญ ดังนั้น Songpyeon จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความปรารถนาดี และความหวังที่จะมีสิ่งดีงามเกิดขึ้นในชีวิตการพัฒนา Songpyeon ในสมัยราชวงศ์โชซอน
เมื่อเข้าสู่สมัยราชวงศ์โชซอน (ค.ศ. 1392-1897) ขนมชนิดต่าง ๆ รวมถึง Songpyeon ได้รับการพัฒนาให้มีรสชาติ รูปแบบ และเทคนิคการทำที่ละเอียดซับซ้อนยิ่งขึ้น มีการใช้ไส้ที่หลากหลาย เช่น ถั่วแดง ถั่วเหลือง งาดำ เกาลัด วอลนัต และน้ำผึ้งเทคนิคการนึ่งด้วยใบสน
นอกจากได้รับการพัฒนาด้านรสชาติแล้ว Songpyeon ยังได้รับการพัฒนาในแง่ของกระบวนการทำด้วย โดยการนึ่งด้วยใบสน ซึ่งเป็นเทคนิคที่เฉพาะเจาะจง และมีความสำคัญอย่างยิ่ง ใบสนไม่เพียงช่วยป้องกันไม่ให้ขนมติดกับหม้อนึ่งเท่านั้น แต่ยังให้กลิ่นหอมตามธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์อีกด้วยความเชื่อเกี่ยวกับใบสน
นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าใบสนมีคุณสมบัติช่วยถนอมอาหาร และเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการด้วย ดังนั้นประเพณีการใช้ใบสนจึงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน และถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ Songpyeon มีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์Songpyeon ในเทศกาลชูซอก
ในเทศกาลชูซอก ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเทศกาลที่สำคัญที่สุดของเกาหลีใต้ ชาวเกาหลีจะนำ Songpyeon มาใช้เป็นเครื่องเซ่นไหว้บรรพบุรุษ เพื่อแสดงความกตัญญู และความเคารพ นอกจากนี้การทำ Songpyeon ในช่วงเทศกาลดังกล่าวยังเป็นกิจกรรมที่ทำให้คนในครอบครัวได้มารวมตัว และช่วยกันทำขนมนี้อีกด้วยความสำคัญทางสังคมและการแบ่งปัน
หลังจากใช้เป็นเครื่องเซ่นไหว้บรรพบุรุษแล้ว Songpyeon จะถูกนำมาเป็นอาหารหลักในมื้ออาหาร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของขนมชนิดนี้ อีกทั้งยังมีการแจกจ่ายให้กับผู้ที่มีฐานะด้อยกว่าในสังคม เพื่อแสดงถึงความเมตตา และการแบ่งปันความสุขในวันสำคัญอีกด้วยSongpyeon ในงานฉลองวันเกิดทารก
นอกจากเทศกาลชูซอกแล้ว Songpyeon ยังถูกนำไปใช้ในงานฉลองวันเกิดครบ 100 วันของเด็กทารกด้วย ซึ่งถือเป็นประเพณีสำคัญของวัฒนธรรมเกาหลี โดยการเสิร์ฟ Songpyeon ในโอกาสนี้เป็นสัญลักษณ์ของการอวยพรให้เด็กมีชีวิตที่ยืนยาว และเจริญรุ่งเรืองความหลากหลายของ Songpyeon ตามภูมิภาค
เมื่อเวลาผ่านไป Songpyeon ก็ได้รับการพัฒนา และปรับเปลี่ยนไปตามแต่ละภูมิภาคในเกาหลีใต้ เช่น ในจังหวัด Jeollado และ Gyeongsangdo มีการทำ Songpyeon ที่เรียกว่า Mosi Songpyeon ซึ่งใช้ใบไผ่ป่ามาผสมในแป้ง ทำให้ได้สีเขียวจากธรรมชาติ และมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์การใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและสีธรรมชาติ
นอกจากนี้ไส้ด้านในก็จะมีความแตกต่างกันตามผลผลิตในท้องถิ่น เช่น ภาคเหนือนิยมใช้ถั่ว และเกาลัด ภาคใต้นิยมใช้ถั่วแดง และงาดำ ส่วนพื้นที่ชายฝั่งอาจมีการใช้สาหร่ายทะเลบดเป็นส่วนผสมในแป้ง เพื่อให้ได้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนนั้น ๆ อีกทั้งยังใช้สีธรรมชาติจากพืชผักอื่น ๆ เช่น สีม่วงจากข้าวโพดม่วง สีเหลืองจากฟักทอง และสีชมพูจากผลเบอร์รี เพื่อทำให้ Songpyeon มีสีสันสวยงามด้วยกระบวนการทำ Songpyeon อย่างพิถีพิถัน
การทำ Songpyeon เป็นศิลปะที่ต้องอาศัยทักษะ และความอดทน โดยกระบวนการทำเริ่มต้นจากการนำข้าวเจ้าไปแช่น้ำข้ามคืน แล้วนำมาบดเป็นผงละเอียด จากนั้นจึงนวดแป้งกับน้ำอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ได้เนื้อแป้งที่เหนียวนุ่มกำลังดี ไม่แห้งจนแตก และไม่เปียกจนติดมือความเชื่อเกี่ยวกับการขึ้นรูป
การขึ้นรูป Songpyeon ต้องทำให้มีรูปร่างพระจันทร์เสี้ยวที่สมบูรณ์ และปิดไส้ให้สนิท เพื่อไม่ให้ไส้ทะลักออกมาขณะนึ่ง ชาวเกาหลีเชื่อว่าการขึ้นรูปที่ไม่ดีไม่เพียงทำให้ Songpyeon รูปร่างไม่สวยเท่านั้น แต่ยังเป็นลางไม่ดีด้วยการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน
ในศตวรรษที่ 20 และ 21 Songpyeon ได้รับการปรับปรุง และพัฒนาให้สอดคล้องกับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากครอบครัวชาวเกาหลีในเมืองใหญ่มีเวลาในการทำขนมด้วยตนเองน้อยลง จึงมีการผลิต Songpyeon ในเชิงอุตสาหกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการ อย่างไรก็ตาม Songpyeon ที่ทำด้วยมือยังคงมีคุณค่า และความหมายพิเศษมากกว่าปัจจุบันร้าน Songpyeon และร้านขนมเกาหลีได้คิดค้นรสชาติใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดผู้บริโภครุ่นใหม่ เช่น ไส้ช็อกโกแลต ไส้ครีม ไส้ผลไม้ หรือแม้กระทั่งไส้ไอศกรีม แต่ถึงอย่างนั้น ในช่วงเทศกาลชูซอก Songpyeon รสชาติดั้งเดิมก็ยังคงเป็นที่นิยมมากที่สุด
Tags :
บทความที่เกี่ยวข้อง
ทำความรู้จัก Kimchi Bokkeumbap (กิมจิ บกกึมบับ, 김치볶음밥) หรือข้าวผัดกิมจิอาหารจานยอดนิยมในประเทศเกาหลีใต้
ทำความรู้จัก Goguma Mattang (โกกุมา มัททัง, 고구마 맛탕) มันเทศเคลือบน้ำตาลคาราเมลขนมทานเล่นยอดนิยมของเกาหลี