Gingerbread (จินเจอร์เบรด)
อัพเดทล่าสุด: 11 ธ.ค. 2025

Gingerbread (จินเจอร์เบรด) หรือขนมปังขิงเป็นขนมอบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดดเด่นด้วยรสเผ็ดอ่อนของขิง และความหอมอบอุ่นจากเครื่องเทศหลากหลายชนิด เช่น อบเชย กานพลู และลูกจันทน์เทศ อีกทั้งยังมักใช้น้ำผึ้ง หรือน้ำเชื่อมกากน้ำตาลเป็นส่วนผสมสำคัญ เพื่อช่วยเพิ่มความหวาน ความชุ่มชื้น และกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์
ต้นกำเนิดจากเค้กน้ำผึ้งผสมเครื่องเทศในอารยธรรมโบราณ
ขนมปังขิงมีต้นกำเนิดจากเค้กน้ำผึ้งผสมเครื่องเทศ เช่น ขิง อบเชย โปยกั๊ก กระวาน และลูกจันทน์เทศ โดยมีหลักฐานว่าชาวอียิปต์ และชาวกรีกโบราณเป็นผู้พัฒนาสูตรดังกล่าวขึ้น โดยในยุคนั้นขนมประเภทนี้มักถูกใช้เป็นของขวัญ หรือเครื่องบูชาในพิธีกรรมทางศาสนาการแพร่กระจายเข้าสู่ยุโรปและพัฒนารูปแบบขนม
เมื่อเวลาผ่านไปเค้กน้ำผึ้งได้แพร่กระจายเข้าสู่ยุโรป โดยเฉพาะในเยอรมนี และอังกฤษ จากนั้นก็มีการปรับสูตรให้ซับซ้อนขึ้น และมีรูปแบบที่หลากหลาย จนกลายเป็นขนมยอดนิยมในหมู่ชนชั้นสูง และในที่สุดก็พัฒนาเป็นขนมปังขิงในรูปแบบที่เราคุ้นเคยในปัจจุบันพระชาวอาร์เมเนียกับการเผยแพร่สูตรขนมปังขิงสู่ยุโรป
มีบันทึกเล่าว่าในปี ค.ศ. 992 พระชาวอาร์เมเนียผู้เดินทางมาอาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ได้สอนวิธีการทำขนมปังขิงให้แก่ชาวคริสเตียนในท้องถิ่น อย่างไรก็ตามในยุโรปยุคนั้นขิงยังเป็นพืชที่หายาก และมีราคาสูงจึงทำให้การทำขนมปังขิงยังไม่แพร่หลายมากนักการนำขิงกลับจากจีนในยุคสงครามครูเสด
ในศตวรรษที่ 11 นักรบครูเสดนำขิงกลับมาจากประเทศจีน แล้วนำมาเพาะปลูกอย่างแพร่หลายทั่วทวีปยุโรป ส่งผลให้ราคาของขิงลดลง และประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น นับแต่นั้นเป็นต้นมาการทำขนมปังขิงจึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องการทำขนมปังขิงในรูปนักบุญและเทวดาในยุคแรก
ในช่วงแรกขนมปังขิงแบบยุโรปมักถูกทำขึ้นในรูปทรงเทวดา และนักบุญ เพื่อใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา และงานเฉลิมฉลองของชาวคริสเตียน ก่อนจะพัฒนาเป็นรูปแบบต่าง ๆ ที่เราคุ้นเคยในปัจจุบันความหมายเดิมของคำว่า Gingerbread ในอังกฤษยุคกลาง
คำว่า Gingerbread ในอดีตไม่ได้หมายถึงขนมปังขิงเพียงอย่างเดียว แต่ในอังกฤษยุคกลาง คำนี้ใช้เพื่ออธิบายกระบวนการถนอมอาหารด้วยเครื่องเทศ โดยเฉพาะขิง ซึ่งเป็นพืชที่มีคุณสมบัติช่วยยืดอายุอาหาร และเพิ่มรสชาติให้เข้มข้นยิ่งขึ้นความนิยมในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 13 และการใช้เป็นอาหารบำรุง
ในช่วงศตวรรษที่ 13 ขนมปังขิงเริ่มแพร่หลาย และเป็นที่รู้จักในหลายประเทศทั่วยุโรป ทั้งสเปน โปแลนด์ และสวีเดน โดยในสวีเดนแม่ชีในคอนแวนต์มักอบขนมปังขิงไว้รับประทาน เนื่องจากเชื่อว่าขิงมีสรรพคุณทางยาที่ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย และช่วยให้ร่างกายอบอุ่นความนิยมในราชสำนักอังกฤษและกำเนิด Gingerbread Man
ในศตวรรษที่ 15 ขนมปังขิงเริ่มได้รับความนิยมในราชสำนักอังกฤษ โดยเฉพาะในรัชสมัยของพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 1 ซึ่งทรงโปรดให้ช่างทำขนมปั้นขนมปังขิงเป็นรูปคน และสัตว์ต่าง ๆ เพื่อนำไปมอบให้แขกที่มาเยือน การสร้างสรรค์นี้กลายเป็นที่มาของ Gingerbread Man หรือ ตุ๊กตาขนมปังขิง ที่เป็นสัญลักษณ์ประจำเทศกาลคริสต์มาสในปัจจุบันเยอรมนีกับการพัฒนา Gingerbread House ในศตวรรษที่ 16
ในศตวรรษที่ 16 ประเทศเยอรมนีได้พัฒนาขนมปังขิงให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยหนึ่งในรูปแบบที่โดดเด่นที่สุดคือ Gingerbread House (บ้านขนมปังขิง) ซึ่งเชื่อกันว่าได้รับแรงบันดาลใจจากนิทานคลาสสิกเรื่อง ฮันเซล และเกรเทล ของพี่น้องกริมม์อิทธิพลจากนิทาน Hansel and Gretel และการสร้างบ้านขนมปังขิง
ในนิทานได้กล่าวถึงเด็กสองคนที่ถูกทอดทิ้งในป่า และพลัดหลงไปยังบ้านของแม่มดกินคน ซึ่งบ้านหลังนั้นสร้างขึ้นจากขนมปังขิง เค้ก และลูกกวาด แม่มดล่อลวงฮันเซลด้วยการให้กินขนมหวานจำนวนมากเพื่อทำให้ตัวเขาอ้วนขึ้นก่อนที่จะจับกินในที่สุดความนิยมของ Gingerbread House ในยุโรป
หลังจากนิทานเรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์ช่างทำขนมปังชาวเยอรมันจึงเริ่มสร้างสรรค์ขนมปังขิงในรูปแบบของบ้านตกแต่งอย่างสวยงามตามเรื่องราวในเทพนิยาย และรูปแบบดังกล่าวก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลคริสต์มาสรูปแบบสัญลักษณ์ประจำเทศกาลคริสต์มาส
เมื่อขนมปังขิงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ผู้คนจึงเริ่มทำขนมปังขิงในรูปแบบที่เป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลคริสต์มาส ไม่ว่าจะเป็นซานตาคลอส กวางเรนเดียร์ ต้นคริสต์มาส หรือเกล็ดหิมะ ซึ่งกลายเป็นธรรมเนียมที่พบเห็นได้ทั่วไปในช่วงปลายปีความเชื่อด้านสุขภาพและการเสิร์ฟหลังมื้อค่ำ
ตามประเพณีขนมปังขิงมักถูกเสิร์ฟเป็นของหวานลำดับสุดท้ายหลังอาหารมื้อค่ำ เพราะมีความเชื่อว่าขิง ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของขนมจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นหลังจากรับประทานอาหารอย่างเต็มที่ในค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองความเชื่อเรื่องการขอพรด้วยคุกกี้ขนมปังขิง
ชาวยุโรปมีความเชื่อว่า ขนมปังขิงสามารถใช้ขอพรได้ โดยให้วางคุกกี้ขนมปังขิงบนฝ่ามือ แล้วตั้งจิตอธิษฐาน จากนั้นให้ใช้นิ้วหัวแม่โป้งข้างขวากดลงตรงกลางคุกกี้ หากคุกกี้แตกออกเป็น สามส่วนพอดี ให้รีบกินให้หมดทันทีโดยไม่พูดคุยกับใคร เชื่อกันว่าความปรารถนาที่อธิษฐานไว้จะเป็นจริงความเชื่อเรื่องโชคลาภและการพบคู่ครอง
อีกหนึ่งความเชื่อที่น่าสนใจคือ หญิงสาวชาวอังกฤษที่ยังไม่ได้แต่งงานมักกินขนมปังขิง เพื่อเสริมโชคลาภในการได้พบคู่ครอง ความเชื่อเหล่านี้ที่เกี่ยวข้องกับความโชคดี และสิริมงคล ทำให้ขนมปังขิงกลายเป็นขนมที่นิยมรับประทานในช่วงวันคริสต์มาส เพื่อเป็นเคล็ดดี ๆ แห่งการเริ่มต้นปีใหม่ Tags :
บทความที่เกี่ยวข้อง
ทำความรู้จัก St. Basils Cake (เซนต์เบซิล) หรือ Vasilopita (วาซิโลปิตา) เค้กฉลองปีใหม่ของชาวกรีซ และประเทศอื่นๆในยุโรปตะวันออก
ย้อนรอยประวัติศาสตร์ Panettone (ปาเนตโตเน) จากขนมปังเรียบง่าย สู่ขนมประจำเทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่ของชาวอิตาลี


