แชร์

Barolo (บาโรโล) และ Barbaresco (บาร์บาเรสโก)

 ในโลกของไวน์อิตาลี Barolo (บาโรโล) และ Barbaresco (บาร์บาเรสโก) ได้รับการยกย่องว่าเป็น ราชา และราชินีแห่งไวน์ เนื่องจากทั้งคู่เป็นไวน์ระดับพรีเมียมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในไวน์ชั้นเลิศของโลก ผลิตจากองุ่น Nebbiolo (เนบบิโอโล) 100% จากแคว้น Piedmont (พีดมอนต์) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี

เรื่องราวของ Barolo และ Barbaresco

เรื่องราวของ Barolo และ Barbaresco เริ่มต้นขึ้นในแคว้น Piedmont ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่าองุ่น Nebbiolo ถูกเพาะปลูกในภูมิภาคนี้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 (ค.ศ. 1201-1300) แต่อย่างไรก็ตามไวน์ Barolo และ Barbaresco ที่เรารู้จักในปัจจุบันเริ่มได้รับการพัฒนาขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1801-1900)

The History of Barolo

ในช่วงปี ค.ศ. 1850 ไวน์ Barolo ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเป็นครั้งแรก ซึ่งเดิมทีไวน์ Barolo จะมีลักษณะเหมือนกับ Ruby Port Wine เนื่องจากมีรสหวาน และมีกลิ่นผลไม้เด่นมาก

จนเมื่อ Marchesa Giulia Colbert Falletti หรือในภายหลังคือ Giulia Falletti di Barolo สุภาพสตรีชั้นสูง ได้ส่งไวน์ Barolo ไปให้กับกษัตริย์ Carlo Alberto แห่ง Savoy ได้ทดลองดื่ม ปรากฎว่าพระองค์ทรงโปรดปรานไวน์ Barolo เป็นอย่างมาก จนถึงขั้นประกาศให้ Barolo เป็นไวน์ประจำราชสำนัก

จากนั้นราชวงศ์ Savoy ซึ่งประทับอยู่ในตูริน (Turin) เมืองหลวงแห่งแรกของอิตาลี ก็เข้ามาให้การสนับสนุนการผลิตไวน์ ไวน์ชนิดนี้ก็ได้รับการพัฒนาให้กลายเป็นไวน์แดงอย่างเต็มรูปแบบมีรสชาติเข้มข้น ซับซ้อน และ Dry ขึ้น จนได้รับการขนาดนามว่าเป็น King of Wines and the Wine of the Kings

ตามกฎหมายควบคุมคุณภาพไวน์ Barolo จะต้องผลิตจาก 11 หมู่บ้านภายในเขตเพาะปลูกเท่านั้น และต้องทำจากองุ่น Nebbiolo 100% ที่ปลูกในพื้นที่ที่มีแสงแดดดีที่สุดทางทิศใต้ของเขต โดยหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงที่สุดในเขตนี้ ได้แก่ La Morra, Serralunga dAlba, Castiglione Falletto, Monforte dAlba, Roddi, Verduno, Cherasco, Diano d'Alba และ Novello

นอกจากนี้การผลิตไวน์ Barolo ยังมีกฎระเบียบเข้มงวด ที่ไร่ไวน์ต้องปฏิบัติตาม เพื่อให้ได้สถานะ DOCG (การรับรองคุณภาพสูงสุดของไวน์อิตาลี) กำกับอยู่บนขวด

The History of Barbaresco

Barbaresco ได้รับการพัฒนาขึ้นมาครั้งแรกในปี ค.ศ. 1894 โดย Domizio Cavazza ผู้อำนวยการโรงเรียน Oenology ในเมือง Alba เขาเล็งเห็นศักยภาพของดินในเขต Barbaresco ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเขต Barolo เพียง 15 -20 กิโลเมตร แต่เป็นภูมิภาคที่เล็กกว่ามาก มีเพียง 3 หมู่บ้าน ได้แก่ Barbaresco, Neive และ Treiso จากนั้นเขาจึงก่อตั้งไร่ไวน์ Cantina Sociale di Barbaresco ขึ้นมา และเริ่มเพาะปลูกองุ่น Nebbiolo ในเขตนี้ และผลิตไวน์ Barbaresco

Barbaresco ได้รับสถานะ DOC (Denominazione di Origine Controllata) ในปีค.ศ. 1966 และได้รับการยกระดับให้เป็น DOCG (Denominazione di Origine Controllata e Garantita) ในปี ค.ศ.1980 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของการรับรองคุณภาพไวน์อิตาลี

แม้จะมีต้นกำเนิดจากแคว้น Piedmont และใช้องุ่นสายพันธุ์เดียวกัน แต่ Barolo และ Barbaresco นั้นผลิตขึ้นมาจากคนละเขต ซึ่งมีสภาพดิน และภูมิอากาศที่แตกต่างกัน

ความแตกต่างของ Barolo และ Barbaresco

ไร่องุ่น Barolo ตั้งอยู่บนเนินเขาที่มีความสูงมากกว่าและมีอากาศที่เย็นกว่า ทำให้องุ่นสุกช้ากว่า ในทางตรงกันข้ามไร่องุ่น Barbaresco จะอยู่บนพื้นที่ที่ต่ำกว่าและมีอากาศอบอุ่นกว่าเล็กน้อย ทำให้องุ่นสุกเร็วขึ้น

  • ดินในแต่ละพื้นที่ของ Barolo จะมีความหลากหลาย ตั้งแต่ดินเหนียว ไปจนถึงดินที่มีลักษณะเป็นทราย เป็นหิน มีความแล้งกว่า Barbaresco ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ไวน์ Barolo เข้มข้น มีแทนนินสูง มี Acidity สูง จึงต้องการระยะเวลาในการบ่มที่นานกว่า แต่ก็ส่งผลให้เรา Barolo สามารถเก็บรักษาได้ยาวนานเช่นกัน
  • ขณะที่ดินในพื้นที่ Barbaresco โดยทั่วไปจะมีความอุดมสมบูรณ์มากกว่า และไม่แข็งตัวเท่ากับพื้นที่ Barolo รวมถึงมีหินปูน (limestone) อยู่ในปริมาณสูง ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำ Tanaro สิ่งนี้ส่งผลให้ไวน์ Barbaresco มีความละเอียดอ่อน และมีแทนนินที่นุ่มนวลกว่า ดื่มง่ายและเปิดดื่มได้เร็วกว่าโดยที่ไม่ต้องเก็บไว้นาน
  • Barolo ต้องผ่านการเก็บบ่มเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี ก่อนวางขาย ซึ่งใน 3 ปีนี้ ต้องผ่านกระบวนการบ่มในถังไม้โอ๊ก 18 เดือน และยังมี Barolo Riseva ที่ต้องบ่มถึง 5 ปี ก่อนวางขาย
  • เช่นเดียวกับ Barbaresco ที่ระยะเวลาการบ่มจะลดหลั่นลงมา นั่นคืออย่างน้อย 2 ปี และภายใน 2 ปีนี้ต้องผ่านกระบวนการบ่มในถังไม้โอ๊ก 9 เดือน ทั้งนี้ทางฝั่ง Barbaresco ก็มี Riseva เช่นกัน ซึ่งต้องบ่มอย่างน้อย 4 ก่อนวางขายค่ะ
  • รสชาติ และกลิ่น : Barolo มีรสชาติเข้มข้น ซับซ้อน มีกลิ่นของผลไม้แดงเข้ม เช่น เชอร์รี่ แบล็กเบอร์รี พลัม รวมถึงกลิ่นดอกกุหลาบ และเครื่องเทศ ส่วน Barbaresco มีรสชาติที่อ่อนโยน และกลมกล่อมกว่า มีกลิ่นของผลไม้แดงสด เช่น สตรอว์เบอร์รี ราสเบอร์รี เชอร์รี่ รวมถึงกลิ่นดอกไวโอเลต และเครื่องเทศ
  • Barolo สามารถเก็บได้นานหลายสิบปี และจะพัฒนารสชาติที่ซับซ้อนขึ้นตามเวลา ส่วน Barbaresco สามารถดื่มได้ตั้งแต่การบ่มในระยะสั้น แต่ก็สามารถเก็บได้นานหลายปีเช่นกัน

    ปัจจุบัน ไวน์ทั้ง 2 ชนิดยังคงถูกจัดอยู่ในระดับ DOCG (Denominazione di Origine Controllata e Garantita) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของการรับรองคุณภาพไวน์อิตาลี

บทความที่เกี่ยวข้อง
Weihenstephaner (ไวเฮนชะเตฟาเนอร์)
ย้อนรอยประวัติศาสตร์ Weihenstephaner (ไวเฮนชะเตฟาเนอร์) โรงเบียร์เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
Rothschild (รอธไชลด์)
Rothschild : ตำนานตระกูลขุนนางแห่งโลกไวน์ จากการเงินสู่ความเป็นเลิศใน Bordeaux
Ornellaia (ออร์เนลลาญ่า)
Ornellaia : ตำนานไวน์ Super Tuscan แห่งแคว้นทัสคานี กับรสชาติระดับโลก
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ