แชร์

Gaspare Campari (กาสปาเร่ คัมปาริ)

ท่ามกลางโลกของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่หลากหลาย มีไม่กี่แบรนด์ที่สามารถหลอมรวมประวัติศาสตร์ ศิลปะ และรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ไว้ได้อย่างลงตัว หนึ่งในนั้นคือ Campari (คัมพารี) เครื่องดื่มสีแดงสดใสที่มีรสขมอมหวาน สร้างสรรค์จากความหลงใหลและความมุ่งมั่นของชายที่ชื่อ Gaspare Campari (กัสปาเร่ คัมพารี) ผู้ซึ่งเปลี่ยนความยากลำบากในวัยเด็กให้กลายเป็นแรงผลักดันสู่ความสำเร็จระดับโลก

จุดเริ่มต้นจากความมุ่งมั่น: ชีวิตของ Gaspare Campari และการสร้างสรรค์ Aperitif Bitter

ย้อนกลับไปยังปี ค.ศ. 1828 Gaspare Campari ได้ลืมตาดูโลกในฐานะบุตรคนที่สิบของครอบครัวชาวไร่ที่ค่อนข้างยากจน ในเมือง Cassolnovo แคว้น Lombardy ประเทศอิตาลี ด้วยฐานะทางบ้าน ทำให้เขาต้องทำงานตั้งแต่เด็ก และไม่มีโอกาสใช้ชีวิตเหมือนเด็กคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน

แต่เหมือนพรหมลิขิตได้กำหนดเส้นทางให้กัสปาเร่ไว้แล้ว ว่าเด็กคนนี้จะต้องเติบโตขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และส่งต่อความสุขให้เพื่อนมนุษย์ผ่านน้ำสีแดงสดใสนี้ กัสปาเร่จึงได้เริ่มต้นเส้นทางชีวิตของเขาในบาร์และร้านอาหารในเมืองมิลาน ตั้งแต่ตำแหน่งเด็กล้างจาน บริกร เก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์ จนได้เป็นผู้ช่วยผสมเครื่องดื่ม จากนั้นจึงย้ายไปยังเมือง Novara ซึ่งห่างจากมิลานไปทางตะวันตกประมาณ 50 กม. เพื่อเปิดคาเฟ่ของตัวเอง

ในช่วงปี 1840 กัสปาเร่ได้เริ่มต้นทำเหล้า Aperitif Bitter ของตนเองขายในชื่อ Bitter all'Uso d'Holanda โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากยาที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจจากฮอลแลนด์ (คำอธิบาย: Aperitif คือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ชาวอิตาลีมักจะดื่มกันก่อนมื้อเย็นคู่กับของกินเล่น ส่วน Bitter คือเหล้าในกลุ่มนี้ ที่มีรสขมแหลมติดปลายหวาน มาจากการแช่หรือหมักแอลกอฮอล์กับสมุนไพรและผลไม้ตระกูล Citrus เช่น ส้ม มะนาว)

กำเนิด Campari: ความลับสีแดงที่คงอยู่และกลายเป็นสัญลักษณ์

กัสปาเร่สั่งสมประสบการณ์มาเรื่อย ๆ จนมาตกผลึกในปี ค.ศ. 1860 ซึ่งเขาได้พัฒนาเหล้า Bitter นี้ โดยการผสมผสานเครื่องเทศ สมุนไพร รากไม้ และเปลือกผลไม้ต่าง ๆ กว่า 60 ชนิดอย่างลงตัว และตั้งชื่อเหล้าตัวนี้ใหม่ตามชื่อสกุลครอบครัวว่า Campari

หนึ่งในส่วนผสมที่น่าสนใจในยุคแรกคือแมลงที่ชื่อว่า Cochineal ที่กัสปาเร่นำมาบดผสมลงไป ซึ่งจะช่วยให้ Campari มีสีแดงเลือดนกอันเป็นเอกลักษณ์ที่เราเห็นกันในปัจจุบันนี้ ปัจจุบันส่วนผสมนี้ถูกเปลี่ยนไปใช้เป็นอย่างอื่นที่ให้สีแดงแทน (เช่น สีผสมอาหารธรรมชาติ) และเป็นวัตถุดิบเดียวที่ถูกเปลี่ยนออกไป ส่วนผสมอื่น ๆ ใน Campari ยังคงเหมือนเดิมและเป็นความลับที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีมานานกว่าร้อยปี

สองปีถัดมา กัสปาเร่ย้ายกลับเข้ามาอยู่ในเมืองมิลานและซื้อคาเฟ่ที่ชื่อว่า Amicizia ตั้งอยู่ตรงข้ามมหาวิหารแห่งมิลาน (Duomo) ซึ่งเป็นทำเลทองใจกลางเมือง แต่หลังจากนั้นไม่นาน ทางสภาเมืองต้องการพื้นที่ของคาเฟ่ Amicizia ในการพัฒนาเมือง (ปัจจุบันเป็นจตุรัส Piazza del Duomo อันเป็นที่รู้จัก) กัสปาเร่ยินดีขายให้กับเมืองมิลาน โดยมีเงื่อนไขว่าเขาจะต้องได้ทำเลที่ดีที่สุดใน Shopping Mall ที่กำลังสร้างไปพร้อม ๆ กัน จนกระทั่งปี 1867 กัสปาเร่จึงได้ย้ายร้านไปเปิดใน Galleria Vittorio Emanuele II ห้างที่เก่าแก่และสวยงามที่สุดของอิตาลี แล้วตั้งชื่อว่า Caffè Campari คาเฟ่แห่งนี้กลายเป็นจุดนัดพบยอดนิยมของศิลปิน นักเขียน และคนดังมากมาย ทำให้เครื่องดื่มของเขากลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วในหมู่ชนชั้นสูง และในปีเดียวกันนี้เอง ภรรยาของกัสปาเร่ก็ได้ให้กำเนิดทายาท ที่จะมาสืบสานตำนานของ Campari ต่อในอนาคต นั่นคือ Davide Campari (ดาวิเด คัมพารี)

Davide Campari: ผู้บุกเบิกสู่ตลาดโลกและศิลปะการตลาดอันชาญฉลาด

น่าเสียดายที่ผู้ก่อตั้งแบรนด์เหล้า Bitter ที่ยิ่งใหญ่นี้ ไม่มีโอกาสได้เห็น Campari ข้ามมหาสมุทรไปเฉิดฉายยังทวีปอื่น ๆ... Gaspare Campari เสียชีวิตไปในปี 1882 Davide Campari บุตรชายผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและเฉียบคมด้านการตลาด ได้เข้ามาสืบทอดธุรกิจแทน ดาวิเดเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยม เขาอนุญาตให้บาร์อื่น ๆ นำ Campari เข้าไปขายได้ แต่ต้องติดป้ายโฆษณาแบรนด์ Campari ในร้านด้วยเพื่อเพิ่มการรับรู้ (Brand Awareness) และลดความสำคัญของเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่คัมพารี่ผู้พ่อคิดค้นขึ้นมา แต่ไปโฟกัสที่ Campari Bitter เพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่เฉียบขาด

เมื่อ Campari Bitter กลายเป็นสินค้าที่เติบโตอย่างรวดเร็วแซงหน้ายอดขายของ Caffè Campari ไปเสียอีก ดาวิเดจึงเปิดโรงงาน Campari แห่งแรกในเมืองมิลาน เพื่อผลิตและจัดจำหน่าย Campari ในเชิงพาณิชย์ไปทั่วทั้งอิตาลี รวมถึงการส่งออกไปยังต่างประเทศด้วย ว่ากันว่าหนึ่งในสาเหตุที่ดาวิเดขยายตลาดการส่งออกไปถึงอเมริกา นั่นเพราะเจ้าตัวไปติดอกติดใจนักร้องโอเปร่าคนหนึ่ง และคอยติดตามเธอไปทั่วยุโรปจนข้ามไปถึงนิวยอร์ก ดาวิเดจึงถือโอกาสวางแผนการส่งออก Campari มายังทวีปอเมริกาเหนือด้วยเลย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการผสานชีวิตส่วนตัวและธุรกิจเข้าด้วยกันอย่างชาญฉลาด

ในปี 1900 ธุรกิจของ Campari ไปได้สวย ดาวิเดสามารถซื้อคฤหาสน์อายุกว่าร้อยปีชื่อ Casa Alta ตั้งอยู่ที่เมือง Sesto San Giovanni ห่างจากมิลานเพียง 40 นาทีเท่านั้น และในปี 1904 ดาวิเดก็ย้ายโรงงานมายังผืนที่ดินเดียวกันกับบ้านของเขา ปัจจุบัน Campari Headquarter ก็ยังคงตั้งอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ เป็นการรวมศูนย์ธุรกิจไว้ในที่เดียว

ในปี 1915 ดาวิเด เปิดบาร์ขึ้นมาใหม่อีกครั้งและเป็นสถานที่เดิมที่เต็มไปด้วยความทรงจำของกัสปาเร่ คาเฟ่ที่คัมพารี่ผู้พ่อเคยวางรากฐานของ Campari ไว้ ณ ใจกลางเมืองมิลานในห้าง Galleria Vittorio Emanuele II และตั้งชื่อว่า Camparino ปัจจุบันบาร์แห่งนี้ยังคงเปิดให้บริการอยู่ แม้จะผ่านยุคสมัยมากกว่าร้อยปีแล้วก็ตาม เป็นเหมือนอนุสรณ์แห่งความสำเร็จของครอบครัวคัมพารี

Campari ในโลกของค็อกเทล: ตำนานของ Americano และ Negroni

Campari ไม่เพียงโด่งดังด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญของค็อกเทลคลาสสิกหลายแก้ว

Americano (ที่ไม่ใช่กาแฟ) เกิดจากเครื่องดื่มที่เดิมทีเป็นที่นิยมอยู่แล้วในชื่อ Milano-Torino ซึ่งคือการผสมกันของ Campari จากมิลานและ Sweet Vermouth จากตูริน ส่วน Americano คือการเติมโซดาลงไปในส่วนผสมทั้งสองนี้ ว่ากันว่าชื่อ Americano เกิดจากการหลั่งไหลเข้ามาของนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันจำนวนมหาศาล ซึ่งคนเหล่านี้ต่างก็หลีกหนีความน่าเบื่อหน่ายในช่วงที่อเมริกาออกกฎหมายห้ามดื่ม ห้ามผลิตและห้ามขายเหล้าในปี 1920 - 1933 (ยุค Prohibition) ทำให้ค็อกเทลนี้เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวที่มองหาเครื่องดื่มที่ดื่มง่ายและสดชื่น

ส่วน Negroni ที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในค็อกเทลที่โด่งดังที่สุดในโลก มีส่วนผสมของ Campari, Sweet Vermouth, และ Gin ในสัดส่วนเท่า ๆ กัน (1:1:1) แต่ประวัติของผู้ที่คิดค้นขึ้นมานั้นยังคลุมเครือ เพราะมีเรื่องเล่ามากมายเหลือเกิน ต่างคนต่างก็งัดหลักฐานมาพิสูจน์กัน แต่เรื่องราวที่โด่งดังที่สุดก็คือ เรื่องของท่านเคานต์ Camillo Negroni ในปี 1919 ที่ Florence อิตาลี ท่านเคานต์เป็นลูกค้าประจำของ Casoni Bar อยู่มาวันหนึ่งท่านเคานต์ก็ครึ้มอกครึ้มใจอยากดื่ม Americano ที่รสชาติหนักแน่นกว่าปกติ จึงถามบาร์เทนเดอร์ว่าทำอย่างไรได้บ้าง บาร์เทนเดอร์คนนั้นจึงลองเปลี่ยนจากโซดาเป็นเหล้าจินแทน

ท่านเคานต์ชอบอกชอบใจในรสของค็อกเทลตัวนี้มากจนกลายเป็นเครื่องดื่มประจำตัว จนกระทั่งลูกค้าคนอื่น ๆ อยากลองบ้าง จึงสั่งไปว่า เอาค็อกเทลแบบเดียวกับที่เคานต์ Negroni ดื่ม หลังจากนั้นไม่นานเครื่องดื่มนี้จึงถูกเรียกตามชื่อสกุลของท่านเคานต์ไปเลย เรื่องราวของ Negroni เหมือนจะเริ่มต้นจากตรงนี้สืบมา แต่ก็มีหลาย ๆ คนออกมาโต้แย้งว่า เคานต์ Camillo Negroni อาจไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง ทำให้ตำนานของ Negroni ยังคงเป็นปริศนาที่น่าค้นหา

Campari กับงานศิลป์: Red Passion ที่เป็นตำนานแห่งการตลาด

กลับมาที่บาร์ Camparino ในมิลาน บาร์แห่งนี้เสิร์ฟ Campari ผสมโซดา, Americano และ Negroni มานับไม่ถ้วน เป็นแหล่งรวมตัวของคนที่มี Lifestyle คล้าย ๆ กัน อย่างเช่นกลุ่มคนทำงานศิลปะ ซึ่งดาวิเดเองก็เป็นคนที่หลงใหลในงานศิลปะด้วย เขาจึงมีบทบาทสำคัญในการยกระดับภาพลักษณ์ของ Campari โดยมักจะจ้างศิลปินที่มีชื่อเสียงมาออกแบบโปสเตอร์และโฆษณาที่ดึงดูดใจ เพื่อส่งเสริม Campari โดยทำการตลาดภายในธีม Red Passion ซึ่งกลายเป็นสโลแกนและภาพจำของแบรนด์

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา Campari ได้เชื่อมโยงกับผลงานศิลปะมานับไม่ถ้วน อาทิเช่น ผลงานชิ้นแรกที่ออกแบบโดย Leonetto Cappiello เป็นภาพวาด Spiritello ที่ล้อมด้วยเปลือกส้มที่ฝานเป็นเกลียว ในมือถือขวด Campari, Aperitivo Campari ออกแบบโดย Carlo Fisanotti ในปี 1948, The Aperitivo Olympics ออกแบบโดย Nino Nanni ในปี 1960 และ Declinazione grafica del nome Campari ออกแบบโดย Bruno Munari ในปี 1964 โปสเตอร์นี้ถูกติดบนรถไฟใต้ดินสายแรกของมิลานที่เรียกว่า Red line ซึ่งสะท้อนถึงการตลาดที่เข้าถึงผู้คนในชีวิตประจำวัน

นอกจากโปสเตอร์แล้ว Campari ยังเข้าไปอยู่ในโลกของภาพยนตร์และโฆษณาต่าง ๆ มากมาย ในยุคที่โทรทัศน์เริ่มเข้ามามีบทบาท ในปี 1984 Franco Scepi ผู้กำกับชื่อดังได้สร้างภาพยนตร์โฆษณาสั้นเรื่องแรกชื่อ Campari It's Fantasy ให้กับ Campari โดยได้ Kelly Le Brock มาเป็นนักแสดงนำ จนเธอได้รับฉายาว่า Woman in Red ภาพยนตร์สั้นเรื่องนี้ทำให้ Campari Bitter โด่งดังไปทั่วอิตาลีในชั่วข้ามคืน สร้างการจดจำและกระตุ้นยอดขายอย่างมหาศาล

ภาพลักษณ์ของ Campari ถูกผูกไว้กับโลกแห่งศิลปะอันเป็นที่น่าจดจำของคนทั่วโลก Campari กลายเป็นแบรนด์เครื่องดื่มที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งในและนอกประเทศ สีแดงที่น่าหลงใหลของ Campari Bitter ยังคงดึงดูดใจผู้บริโภคและนักผสมเครื่องดื่มรุ่นใหม่จำนวนมาก ซึ่งประวัติศาสตร์ของ Campari ได้กลายเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และความมุ่งมั่นในคุณภาพ จากจุดเริ่มต้นในบาร์เล็ก ๆ ในมิลาน สู่การเป็นไอคอนระดับโลกอย่างแท้จริง และยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับวงการเครื่องดื่มและศิลปะมาจนถึงปัจจุบัน


บทความที่เกี่ยวข้อง
Soju (โซจู) และ Shochu (โชจู)
ไขข้อสงสัย Soju (โซจู) และ Shochu (โชจู) แตกต่างกันอย่างไร? เปิดตำนานเครื่องดื่มแห่งเอเชียตะวันออก
Sake (สาเก)
ย้อนรอยประวัติศาสตร์ Sake (สาเก) เครื่องดื่มหลักประจำชาติแห่งแดนอาทิตย์อุทัย: จากพิธีกรรมสู่เครื่องดื่มระดับโลก
Umeshu (อุเมะชู,梅酒)
ทำความรู้จัก Umeshu (อุเมะชู,梅酒) เหล้าบ๊วยญี่ปุ่น: เครื่องดื่มที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นยาชูกำลังชั้นเลิศและมรดกทางวัฒนธรรม
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ