แชร์

Allowrie (อลาวรี่)

หากพูดถึงผลิตภัณฑ์เนยและชีสคุณภาพดีจากออสเตรเลีย ชื่อของ Allowrie (อลาวรี่) ต้องเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่หลายคนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ด้วยรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์และคุณภาพที่เชื่อถือได้ Allowrie ได้เดินทางจากฟาร์มโคนมเล็ก ๆ ในออสเตรเลีย สู่ครัวเรือนทั่วโลก รวมถึงการเป็นแบรนด์เนยและชีสอันดับหนึ่งในใจคนไทย วันนี้ Rimping Supermarket จะพาคุณไปย้อนรอยประวัติศาสตร์อันยาวนานของ Allowrie แบรนด์ที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 บนชายฝั่งทะเลทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย (ปัจจุบันคือ Illawarra) กันค่ะ

จุดกำเนิดจากสหกรณ์โคนมแห่ง Illawarra

เรื่องราวของ Allowrie เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1869 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ออสเตรเลียกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตรและผลิตภัณฑ์นมอย่างเต็มตัว แบรนด์นี้ถือกำเนิดจากการรวมตัวกันของ สหกรณ์โคนมในท้องถิ่น ได้แก่ Illawarra, Shoalhaven และ Kangaroo ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสภาพอากาศอุดมสมบูรณ์และขึ้นชื่อเรื่องฟาร์มโคนมคุณภาพสูงในภูมิภาค Illawarra

ในช่วงแรกเริ่ม Allowrie มุ่งเน้นการผลิตเฉพาะ เนยคุณภาพสูง เท่านั้น โดยใช้นมสดใหม่จากฟาร์มโคนมในพื้นที่ Illawarra เป็นหลัก

ความสำเร็จจากคุณภาพและกรรมวิธีดั้งเดิม

หลังจากเปิดตัว ผลิตภัณฑ์เนยของ Allowrie ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในด้าน รสชาติที่เข้มข้น และเนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่ม ความสำเร็จนี้ไม่ได้มาโดยบังเอิญ แต่เกิดจากการที่บริษัทมุ่งมั่นในการใช้ ส่วนผสมที่ดีที่สุด รักษา มาตรการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด รวมถึงใช้ กรรมวิธีการผลิตแบบดั้งเดิม ที่เน้นความบริสุทธิ์และความสดใหม่ของผลิตภัณฑ์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผลิตภัณฑ์เนยของ Allowrie โดดเด่นเหนือผู้ผลิตรายอื่น ๆ ในออสเตรเลียยุคนั้น

การขยายตัวและปรับตัวในยุคสงคราม

เมื่ออุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นมของออสเตรเลียเริ่มขยายตัวในช่วงปี ค.ศ. 1920 แบรนด์ Allowrie ก็เติบโตตามไปด้วย บริษัทใช้โอกาสนี้ในการ ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น มาการีน, ชีส, และสเปรดทาขนมปัง

ในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 2 ถือเป็นบททดสอบครั้งสำคัญ เมื่อเนยแท้เริ่มถูกจัดสรรปันส่วนและบริษัทเนยหลายแห่งต้องปิดตัวลง Allowrie ได้ปรับตัวอย่างรวดเร็วโดยหันมา ผลิตมาการีนมากขึ้น เพื่อทดแทนเนยแท้ที่หายากในขณะนั้น และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ยังคงต้องการผลิตภัณฑ์ทาขนมปังอยู่ การปรับตัวในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้แบรนด์อยู่รอด แต่ยังทำให้ Allowrie ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายอีกด้วย

ก้าวสู่ตลาดต่างประเทศและการบุกตลาดไทย

ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ Allowrie เมื่อมีการนำ ระบบทำความเย็น ที่ทันสมัยเข้ามาใช้ ทำให้บริษัทสามารถขยายตลาดไปต่างประเทศได้ โดยเริ่มจากการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยัง สหราชอาณาจักร ซึ่งก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และค่อย ๆ ขยายไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก

สำหรับ ประเทศไทย Allowrie ได้รับการนำเข้ามาในช่วงปี ค.ศ. 1970 โดย KCG Corporation (บริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายคุกกี้กล่องแดงอิมพีเรียล) ผู้ก่อตั้ง KCG ประทับใจในคุณภาพและรสชาติของ Allowrie เป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจนำเข้าผลิตภัณฑ์นมของ Allowrie มายังประเทศไทย และเริ่มทำการตลาดเพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์คุณภาพนี้ให้คนไทยได้รู้จัก

ในเวลาไม่นาน Allowrie ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จนสามารถ ครองตำแหน่งแบรนด์เนยและชีสอันดับหนึ่งของประเทศไทยติดต่อกันถึง 7 ปีซ้อน Allowrie สามารถครองใจผู้บริโภคชาวไทยได้ด้วยรสชาติแบบออสเตรเลียแท้ ๆ และคุณภาพที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ทำให้เป็นที่ไว้วางใจและเลือกใช้ในครัวเรือนไทยมาอย่างยาวนาน

ภายใต้ร่มเงา Fonterra : การเติบโตสู่ระดับโลก

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 Allowrie ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ สหกรณ์ Fonterra ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์นมรายใหญ่ที่สุดของโลกจากประเทศนิวซีแลนด์ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้ Allowrie ขยายการเข้าถึงตลาดได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น

ปัจจุบัน Allowrie จึงกลายเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก โดยได้รับการยกย่องในเรื่องคุณภาพ รสชาติ และความน่าเชื่อถือที่สม่ำเสมอ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลมาจากความมุ่งมั่นตั้งแต่จุดเริ่มต้นในการผลิตผลิตภัณฑ์นมที่ดีที่สุด จากฟาร์มโคนมคุณภาพเยี่ยมในออสเตรเลีย

คุณสามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์เนยและชีสคุณภาพเยี่ยมจาก Allowrie และแบรนด์ชั้นนำอื่นๆ ได้ที่ Rimping Supermarket ทุกสาขานะคะ

Tags :

บทความที่เกี่ยวข้อง
Fish & Chips (ฟิช แอนด์ ชิปส์)
Fish & Chips (ฟิช แอนด์ ชิปส์) อาหารสุดเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่หยั่งรากฝังลึก จนกลายมาเป็นอาหารประจำชาติของประเทศอังกฤษ
hepherds and Cottage Pie (เชปเพิร์ดส์ และคอตเทจพาย)
ชวนรู้จัก Shepherds and Cottage Pie (เชปเพิร์ดส์ และคอตเทจพาย) : จากอาหารธรรมดาของคนเลี้ยงแกะ สู่การเป็นอาหารสุดหรูของผู้ดีอังกฤษ
น้ำมันหมู vs. น้ำมันพืช
น้ำมันหมู vs. น้ำมันพืช : ไขข้อถกเถียงและทางเลือกเพื่อสุขภาพ
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ