Leffe (เลฟ)

ในบรรดาเบียร์เบลเยียมชื่อดัง มีอยู่แบรนด์หนึ่งที่โดดเด่นด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ นั่นคือ Leffe (เลฟ) โดยทั่วไปแล้ว Leffe จะมีรสชาติหวานอมขมเล็กน้อย พร้อมกลิ่นหอมของผลไม้และเครื่องเทศ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของเบียร์เบลเยียม วันนี้ Rimping Supermarket จะพาคุณไปเจาะลึกเรื่องราวของเบียร์ Leffe ที่มีต้นกำเนิดจากอารามเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 กันค่ะ

จุดกำเนิดในอาราม Abbaye Notre-Dame de Leffe

เรื่องราวของ Leffe เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1152 เมื่อคณะนักบวช Premonstratensian (หรือที่รู้จักกันในชื่อ Norbertine) ได้ก่อตั้งอาราม Abbaye Notre-Dame de Leffe (อับเบย์ นอเทรอ-ดาม เดอ เลฟ) ขึ้นใกล้กับแม่น้ำ Meuse (เมิซ) ทางตอนใต้ของประเทศเบลเยียมในปัจจุบัน นักบวชคณะนี้มีวิสัยทัศน์ที่เปิดกว้างมาก พวกเขาคอยให้บริการชุมชน รวมถึงเปิดรับแขกและผู้แสวงบุญให้เข้ามาพักผ่อนในอารามด้วย

อย่างไรก็ตาม การผลิตเบียร์ในอารามแห่งนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1240 เนื่องจากเกิดโรคระบาดแพร่กระจายไปทั่วดินแดนยุโรป ในเวลานั้น น้ำดื่มไม่ปลอดภัย ด้วยเหตุนี้ นักบวชจึงก่อตั้งโรงเบียร์ขึ้นมาเพื่อผลิตเบียร์บริการชุมชน เพราะในระหว่างกระบวนการผลิต อุณหภูมิในการต้มจะฆ่าจุลินทรีย์ ทำให้ เบียร์ปลอดภัยต่อการดื่มมากกว่าน้ำเปล่า ในยุคนั้น

เบียร์แห่งคุณภาพและรายได้ของอาราม

แม้ช่วงแรกการผลิตเบียร์ Leffe จะเกิดขึ้นจากความจำเป็น แต่เมื่อถึงศตวรรษที่ 13 อาราม Abbaye Notre-Dame de Leffe ก็ได้รับชื่อเสียงด้าน เบียร์คุณภาพสูง ที่โดดเด่นด้วยส่วนผสมที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง มอลต์, ฮ็อป, และยีสต์ ซึ่งมีรสชาติแตกต่างจากเบียร์อื่น ๆ ในยุคนั้น ด้วยเหตุนี้ จึงมีการซื้อขายกับพ่อค้าท้องถิ่นเป็นประจำ ทำให้อารามมีรายได้ที่มั่นคงและกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตเบียร์ที่สำคัญ

ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา อารามต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ไฟไหม้, น้ำท่วม, โรคระบาด, และสงคราม อย่างไรก็ตาม ในแต่ละครั้งนักบวชก็จะสร้างอารามขึ้นมาใหม่ และฟื้นคืนวิธีการผลิตเบียร์ Leffe แบบดั้งเดิมอันเป็นมรดกตกทอด

ยุคแห่งการหยุดชะงักและการฟื้นคืนชีพ

การปฏิวัติฝรั่งเศสในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ถือเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ที่สุดต่ออาราม เนื่องจากอารามหลายแห่งถูกบังคับให้ปิดตัวลง และนักบวชก็ถูกบังคับให้ละทิ้งวิถีการต้มเบียร์ ดังนั้น การผลิตเบียร์ Leffe จึงต้องหยุดชะงักไปนานเกือบหนึ่งศตวรรษ

อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1929 ก็มีการก่อตั้งอารามขึ้นมาใหม่ และในปี 1952 บาทหลวงอธิการนิกายนีส (Abbot Nys) พร้อมด้วย Albert Lootvoet (อัลเบิร์ต ลูตโวเอต) เจ้าของโรงกลั่นเบียร์ Lootvoet ในเบลเยียม ได้ตัดสินใจร่วมกันฟื้นคืนชีพและนำการผลิตเบียร์ Leffe เข้าสู่ตลาดเชิงพาณิชย์ ความร่วมมือในครั้งนี้เองที่ทำให้ Leffe ไม่ถูกจัดว่าเป็นเบียร์ Trappist (แทรปปิสต์) อีกต่อไป เพราะไม่ได้ถูกผลิตในอารามโดยนักบวชอีกแล้ว (เบียร์ Trappist แท้จะต้องผลิตโดยนักบวชภายในกำแพงอารามเท่านั้น)

ความหลากหลายและชื่อเสียงระดับโลก

หลังจากฟื้นคืนชีพ เบียร์ Leffe ก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งอย่างรวดเร็ว และมีการพัฒนาให้มีหลากหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน เช่น

• Leffe Blonde: เบียร์สีทองรสชาติสดชื่น หอมผลไม้ เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นดื่มเบียร์
• Leffe Brune: เบียร์สีน้ำตาลเข้ม รสชาติเข้มข้น หอมคาราเมล
• Leffe Tripel: เบียร์สีทองอ่อน รสชาติหวานอมขม มีแอลกอฮอล์สูง (9.5% ABV)
• Leffe Radieuse: เบียร์สีทองรสชาติสดชื่น หอมดอกไม้
• Leffe Ruby: เบียร์สีแดงเข้ม ที่มีกลิ่นผลไม้และเครื่องเทศ

ความสำเร็จของ Leffe นำไปสู่การเข้าซื้อกิจการโดยโรงเบียร์ Artois ซึ่งภายหลังได้ควบรวมกับ Piedboeuf เพื่อก่อตั้งบริษัท Interbrew และต่อมาก็กลายเป็นบริษัทในเครือของ AB InBev หนึ่งในผู้ผลิตเบียร์ยักษ์ใหญ่ของโลก แต่ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนเจ้าของ แต่แบรนด์ยังคงรักษาความมุ่งมั่นในด้านคุณภาพและประเพณีการผลิตเบียร์แบบดั้งเดิมเอาไว้

ปัจจุบัน Leffe ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยมีเบียร์ให้เลือกหลากหลายประเภท เช่น Leffe Brune แบบคลาสสิก รวมถึงเบียร์รูปแบบต่าง ๆ อย่าง Leffe Blonde, Leffe Radieuse, และ Leffe Ruby ซึ่งยังคงเป็นที่ชื่นชอบของคอเบียร์ทั่วโลก