Jim Beam (จิมบีม)
หากพูดถึงเบอร์เบิ้นวิสกี้ระดับโลก ชื่อของ Jim Beam (จิมบีม) ย่อมเป็นที่รู้จักกันดี แบรนด์เบอร์เบิ้นเก่าแก่จากสหรัฐอเมริกานี้ก่อตั้งขึ้นในเมือง Clermont รัฐ Kentucky เมื่อปี 1795 (ราว 229 ปีที่ผ่านมา) ปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลของ Beam Suntory บริษัทย่อยในเครือ Suntory (ซันโทรี่) แบรนด์วิสกี้เก่าแก่จากประเทศญี่ปุ่น วันนี้ Rimping Supermarket จะพาทุกคนไปเจาะลึกเรื่องราวเบื้องหลังความสำเร็จของ Jim Beam กันค่ะ
จุดกำเนิดของตระกูล Beam ใน Kentucky
เรื่องราวของ Jim Beam มีประวัติย้อนกลับไปช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ในปี 1788 เมื่อ Johannes Jacob Beam (โยฮันเนส จาค็อบ บีม) และครอบครัวชาวเยอรมันได้ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในรัฐ Kentucky ดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีแหล่งน้ำบริสุทธิ์ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการปลูกข้าวโพด ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเบอร์เบิ้น
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ Jim Beam จะถือกำเนิดขึ้น เดิมทีรัฐ Kentucky เริ่มมีการผลิตเบอร์เบิ้นกันมาก่อนอยู่แล้วตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 โดยผู้ตั้งถิ่นฐานชาวสก็อตและไอริชเป็นผู้คิดค้นขึ้นมาในหมู่บ้าน Bourbon County
ความแตกต่างระหว่างเบอร์เบิ้นและวิสกี้
เบอร์เบิ้นมีแนวทางการผลิตที่คล้ายคลึงกับวิสกี้ แต่มีข้อกำหนดที่แตกต่างกัน
- วัตถุดิบหลัก: วิสกี้ส่วนใหญ่ผลิตโดยใช้ข้าวไรย์ และข้าวบาร์เลย์เป็นหลัก ส่วนเบอร์เบิ้นจะมีส่วนผสมของ ข้าวโพดอย่างน้อย 51% เนื่องจากในยุคนั้น วัตถุดิบอย่างข้าวไรย์ และข้าวบาร์เลย์หาได้ยากมากในอเมริกา ดังนั้นพวกเขาจึงหันมาใช้ข้าวโพด ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของอเมริกาแทน ส่วนที่เหลือจะใช้ข้าวไรย์ หรือข้าวบาเลย์เป็นตัวเพิ่มความเข้มข้นตามต้องการ
- กระบวนการผลิตและบ่ม: การที่จะเรียกว่าเบอร์เบิ้นได้นั้น เครื่องดื่มทุกขวดจะต้องผ่านการกลั่นอย่างน้อย 2 รอบ และบ่มใน ถังไม้ American white oak ที่ผ่านการเผา (Charred New American Oak Barrels) อย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป โดยกระบวนการนี้เองที่เป็นข้อแตกต่างอีกอย่างหนึ่งระหว่างเบอร์เบิ้นและวิสกี้ เพราะวิสกี้จะใช้เวลาในการบ่มอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป
Jacob Beam : ผู้บุกเบิก Old Jake Beam (รุ่นที่ 1)
ในปี 1795 Jacob Beam เริ่มตระหนักถึงศักยภาพของเบอร์เบิ้น เขาจึงเริ่มกลั่นเบอร์เบิ้นในไร่ของเขา โดยนำเทคนิคที่สืบทอดจากครอบครัวมาผสมผสานกับเทคนิคการผลิตเบอร์เบิ้นของที่นี่ จนในที่สุดเขาก็สร้างสรรค์เบอร์เบิ้นที่มีรสชาติละมุน และกลมกล่อมขึ้นมา แล้วตั้งชื่อว่า Old Jake Beam
Jacob เริ่มขายเบอร์เบิ้นของเขาให้กับเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียง จากนั้นไม่นานเบอร์เบิ้นของเขาก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในรัฐ Kentucky
การขยายตัวของกิจการ (รุ่นที่ 2 และ 3)
ต่อมาในปี 1820 David Beam ลูกชายคนที่ 10 ของ Jacob ในวัยเพียง 18 ปี ผู้เชี่ยวชาญด้านการกลั่นสุราก็เข้ามาดูแลกิจการต่อ David ตัดสินใจขยายโรงกลั่น และเพิ่มกำลังการผลิต ทำให้ Old Jake Beam ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น
34 ปีต่อมา ในปี 1854 David M. Beam ลูกชายของ David ก็เข้ามารับช่วงกิจการต่อเป็นรุ่นที่ 3 ซึ่งภายใต้การดูแลของ David M. เขาได้รีแบรนด์ใหม่โดยเปลี่ยนชื่อเบอร์เบิ้นเป็น Beam's Old Tub อีกทั้งยังเริ่มนำขวดแก้วมาใช้ด้วย นอกจากนี้เขายังย้ายโรงกลั่นไปยัง Nelson County ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับทางรถไฟ เพื่อให้เบอร์เบิ้นของเขาสามารถขนส่งไปยังพื้นที่อื่นๆ ได้มาก และเร็วขึ้น
James "Jim" Beauregard Beam: ผู้กอบกู้แบรนด์หลังยุค Prohibition (รุ่นที่ 4)
ต่อมาในปี 1894 James Beauregard Beam หรือที่คนในครอบครัวมักจะเรียกเขาว่า Jim Beam ลูกชายคนเล็กของ David M. ก็เข้ามารับช่วงกิจการต่อเป็นรุ่นที่ 4 แต่ทั้งนี้อีก 26 ปีต่อมาโชคชะตากลับพลิกผัน เมื่อกฎหมายห้ามจำหน่ายสุราในอเมริกา (Prohibition) ถูกบังคับใช้ในปี 1920 โรงกลั่นเบอร์เบิ้นของพวกเขาถูกบังคับให้ปิดตัวลง ครอบครัว Beam ต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยสร้างมา Jim Beam ต้องไปหางานทำเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ
อย่างไรก็ตาม Jim Beam ยังคงไม่ยอมแพ้ เขารอคอยวันที่กฎหมายจะได้รับการเปลี่ยนแปลง และแล้วในปี 1933 กฎหมายห้ามจำหน่ายสุราก็ถูกยกเลิก ขณะนั้น Jim Beam ในวัย 69 ปี ก็เริ่มต้นใหม่ โดยสร้างโรงกลั่นขึ้นมาภายในเวลาเพียง 120 วัน เพื่อฟื้นคืนชีพกิจการของครอบครัว
Jim Beam ก่อตั้งบริษัทอย่างเป็นทางการขึ้นมาชื่อว่า James B. Beam Distilling Company และเปลี่ยนชื่อเบอร์เบิ้นมาเป็น Jim Beam ตามชื่อของเขา ซึ่งเป็นชื่อที่เรารู้จักมาจนถึงทุกวันนี้ หลังจากเปิดตัว ชื่อเสียงของ Jim Beam ก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความต้องการของสุรามีเพิ่มมากขึ้น ผู้คนต่างก็ชื่นชอบในรสชาติของ Jim Beam เนื่องจากมีความกลมกล่อม ละมุนละไม และดื่มง่าย
ยุคทองและนวัตกรรม (รุ่นที่ 5 และ 6)
ในปี 1935 T. Jeremiah Beam ลูกชายของ Jim Beam ก็เข้ามารับช่วงกิจการต่อเป็นรุ่นที่ 5 ซึ่งภายใต้การดูแลของเขา บริษัทก็ได้ขยายการจัดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น และในปี 1950 เขาก็ทำให้ Jim Beam กลายเป็นแบรนด์เบอร์เบิ้นที่มีชื่อเสียงในระดับโลก
ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ครอบครัว Beam ยังคงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และขยายตัวต่อไปเรื่อยๆ ในปี 1964 บริษัทได้เปิดตัว Jim Beam Black Label ซึ่งเป็นเบอร์เบิ้นระดับพรีเมียม ที่ผ่านการบ่มในถังไม้โอ๊คใหม่ที่ผ่านการเผาไฟนานถึง 8 ปี มีรสชาติเข้มข้น กลมกล่อม ละมุนลิ้น มีกลิ่นหอมของคาราเมล โอ๊ค และวานิลลา
ในปี 1988 Frederick Booker Noe II หลานเขยของ Jim Beam ได้เปิดตัวเบอร์เบิ้นระดับพรีเมียมคอลเลกชันพิเศษชื่อว่า Booker's Bourbon ขึ้นมา ซึ่งเบอร์เบิ้นชนิดนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างจากเบอร์เบิ้นชนิดอื่นๆ คือถูกบ่มในถังไม้โอ๊คใหม่เป็นเวลา 6-8 ปี ไม่ถูกเจือจางด้วยน้ำ และไม่ผ่านการกรอง ดังนั้นเบอร์เบิ้นชนิดนี้จึงมีรสชาติ และกลิ่นหอมจากถังไม้โอ๊คที่เข้มข้น
นอกจากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น Jim Beam ยังมีอีกหลายรุ่น เช่น Jim Beam White, Jim Beam Double Oak และ Jim Beam Honey ซึ่งแต่ละรุ่นก็มีรสชาติและเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป
ภายใต้ Beam Suntory และอนาคตของ Jim Beam
ในปี 2014 Suntory บริษัทวิสกี้เก่าแก่สัญชาติญี่ปุ่นได้เข้าซื้อกิจการ Jim Beam และก่อตั้ง Beam Suntory ขึ้นมาเพื่อดูแลกิจการ ปัจจุบัน Beam Suntory เป็นหนึ่งในบริษัทสุราชั้นนำของโลก โดยมี Jim Beam เป็นแบรนด์เบอร์เบิ้นเรือธง
แม้ Suntory จะซื้อกิจการ Jim Beam ไป แต่ทุกวันนี้ ครอบครัว Beam ก็ยังคงดำเนินการเป็นผู้ผลิตอยู่ในรุ่นที่ 7 นำโดย Frederick Booker Noe IV ลูกชายของ Frederick Booker Noe III และปัจจุบัน Jim Beam ยังคงเป็นแบรนด์เบอร์เบิ้นอันดับต้นๆ ของโลก มีวางจำหน่ายในกว่า 200 ประเทศทั่วโลก เป็นเครื่องยืนยันถึงตำนานแห่งคุณภาพที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน
Jim Beam ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องดื่ม แต่เป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่น ความอดทน และมรดกทางครอบครัวที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น สร้างสรรค์เบอร์เบิ้นที่ได้รับความนิยมจากนักดื่มทั่วโลก