Edam Cheese (เอดัมชีส)
Edam Cheese (เอดัมชีส) เป็นชีสที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาจากเนเธอร์แลนด์ มีลักษณะเป็นก้อนกลมเคลือบด้วยขี้ผึ้งสีแดง หรือสีเหลือง ทำมาจากนมวัวที่ผ่านการพาสเจอไรซ์ มีสีเหลืองอ่อน กลิ่นหอมคล้ายถั่ว ลักษณะคล้ายกับ Gouda Cheese (เกาดาชีส) แต่มีไขมันน้อยกว่า วันนี้ Rimping Supermarket จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับประวัติศาสตร์อันยาวนานของชีสชนิดนี้กันค่ะ
จุดกำเนิดในเมืองเอดัม : ศตวรรษที่ 14
ต้นกำเนิดของ Edam Cheese มีประวัติย้อนกลับไปใน ศตวรรษที่ 14 ในเมือง เอดัม (Edam) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของฮอลแลนด์ เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำซูเดอร์เซ (Zuiderzee) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าที่คึกคักในช่วงยุคกลาง
เมืองเอดัมเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีอุตสาหกรรมนมเกิดขึ้นมากมาย เกษตรกรเริ่มนำนมมาผลิตชีสหลากหลายชนิด รวมถึง Edam Cheese ด้วย เพื่อลดปริมาณการเน่าเสียของนมในยุคที่ยังไม่มีเทคโนโลยีความเย็น
กระบวนการผลิตและประเภทของ Edam Cheese
กระบวนการผลิต Edam Cheese เริ่มจากการนำนมวัวมาพาสเจอร์ไรส์ จากนั้นก็เติมเอนไซม์ และแบคทีเรียลงไป เพื่อให้นมจับตัวเป็นก้อน ก้อนชีสที่ได้จะถูกนำไปกด และขึ้นรูปเป็นทรงกลม โดยมีน้ำหนักประมาณ 2 ถึง 4 ปอนด์ (0.9 ถึง 1.8 กิโลกรัม) หลังจากนั้นก็จะนำไปแช่ในน้ำเกลือ และเคลือบด้วยขี้ผึ้งสีแดง หรือสีเหลือง ก่อนจะถูกนำไปบ่มอีกครั้งเป็นเวลานานหลายเดือน
Edam Cheese จะมีรสชาติและเนื้อสัมผัสที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการบ่ม โดยชีสที่ผ่านการบ่มน้อยจะมีเนื้อเนียน และครีมมี่ ในขณะที่ชีสที่บ่มนานจะมีเนื้อแน่น และมีรสชาติเข้มข้นมากกว่า โดยมีการแบ่งประเภทย่อยออกไปตามระยะเวลาในการบ่มดังนี้:
- Jong Edam (ยอง เอดัม): บ่มนาน 4-8 สัปดาห์ มีรสชาติอ่อนๆ เหมาะสำหรับทานเล่น
- Belegen Edam (เบเลเกน เอดัม): บ่มนาน 8-12 สัปดาห์ มีรสชาติเข้มข้นขึ้น เหมาะสำหรับทานคู่กับไวน์
- Extra Belegen Edam (เอ็กซ์ตร้า เบเลเกน เอดัม): บ่มนาน 16-20 สัปดาห์ มีรสชาติเข้มข้นมาก
การเคลือบขี้ผึ้ง: เอกลักษณ์ที่มาพร้อมประโยชน์
การเคลือบ Edam Cheese ด้วยขี้ผึ้ง เดิมทีผู้ผลิตตั้งใจทำขึ้นเพื่อใช้รักษาคุณภาพชีสระหว่างการขนส่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป การเคลือบด้วยขี้ผึ้งก็กลายมาเป็นเอกลักษณ์ของ Edam Cheese ซึ่งขี้ผึ้ง สีแดง โดยปกติแล้วจะใช้สำหรับชีสที่ส่งออก และ สีเหลือง จะใช้สำหรับชีสที่ขายในท้องถิ่น
สู่ตลาดโลก: ยุคทองของเนเธอร์แลนด์
ด้วยทำเลที่ตั้งที่เป็นศูนย์กลางการค้าที่คึกคัก Edam Cheese จึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มกะลาสีเรือ เนื่องจากมีอายุการเก็บรักษาที่ยาวนาน ไม่เน่าเสียได้ง่าย ซึ่งการเดินเรือในแต่ละครั้ง เหล่ากะลาสีก็จะนำชีสชนิดนี้ลงเรือไปด้วย สิ่งนี้ส่งผลทำให้ Edam Cheese ได้รับการแนะนำให้รู้จักในหลายพื้นที่
ในช่วง ศตวรรษที่ 17 และ 18 ซึ่งเป็นยุคทองของเนเธอร์แลนด์ Edam Cheese กลายมาเป็นสินค้าส่งออกหลักของเนเธอร์แลนด์ พ่อค้าชาวดัตช์มักจะนำ Edam Cheese ไปจำหน่ายยังพื้นที่ต่างๆ ทั้งทวีปอเมริกา เอเชีย และแอฟริกา ส่งผลให้ Edam Cheese ได้รับความนิยมไปทั่วโลก จนนำไปสู่การผลิตจำนวนมากนอกเนเธอร์แลนด์ โดยเฉพาะในสเปน ฝรั่งเศส เยอรมนี และอเมริกา
Edam Cheese ในปัจจุบัน: มรดกทางวัฒนธรรมและเมนูสารพัดประโยชน์
Edam Cheese กลายมาเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาวดัตช์ เป็นสินค้าหลักในตลาด และงานแสดงสินค้าในท้องถิ่น นอกจากนี้ เมืองเอดัมยังเป็นเจ้าภาพจัดงานตลาดชีสประจำปีอีกด้วย ซึ่งในแต่ละปีก็จะมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือนที่เมืองแห่งนี้เพื่อซื้อชีสแบบดั้งเดิม
ปัจจุบัน Edam Cheese ยังคงได้รับความนิยมทั่วโลก สามารถทานได้หลากหลายวิธี เช่น ทานคู่กับผลไม้ ขนมปัง ไวน์ หรือใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร เช่น สลัด แซนด์วิช ซุป และพาสต้า
Edam Cheese ไม่ได้เป็นเพียงชีสที่อร่อยเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเนเธอร์แลนด์ ที่แพร่หลายและได้รับการยอมรับไปทั่วโลก
คุณสามารถหาซื้อ Edam Cheese ได้ที่ริมปิงทุกสาขานะคะ!