แชร์

Top-Fermentation และ Bottom-Fermentation

เบียร์เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่อยู่คู่มนุษย์มาอย่างยาวนาน ซึ่งในแต่ละยุคสมัยก็จะมีวิวัฒนาการของการผลิตเบียร์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และภูมิปัญญาของมนุษย์ แต่ทั้งนี้วิวัฒนาการที่เห็นได้ชัดก็คือเทคนิคการหมักเบียร์แบบ Top-Fermentation (ท็อป-เฟอร์เมนเทชัน) และ Bottom-Fermentation (บอททอม-เฟอร์เมนเทชัน) วันนี้ Rimping Supermarket จะพาคุณไปเจาะลึกความแตกต่างของสองเทคนิคนี้กันค่ะ

Top-Fermentation : เทคนิคดั้งเดิมของเบียร์ Ale

ในยุคแรกสุดการผลิตเบียร์จะใช้วิธีการหมักแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า Top-Fermentation ซึ่งเทคนิคนี้ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ผลิตเบียร์ประเภท เอล (Ale) ที่มีรสชาติเข้มข้น หลากหลายทั้งหวาน ขม เปรี้ยว ขึ้นอยู่กับชนิด ตัวอย่างเช่น IPA, Pale Ale, Brown Ale, Stout, Porter, Belgian Ale และ Lambic

ลักษณะเด่น

  • กระบวนการ: การหมักเบียร์ประเภทนี้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นบริเวณด้านบนของถังหมักเบียร์ ซึ่งระหว่างที่หมักอยู่ยีสต์จะลอยตัวขึ้นมาอยู่ด้านบนผิวของของเหลวที่ได้จากการสกัดมอลต์ (Wort) ดังนั้นผู้ผลิตจึงเรียกเทคนิคการหมักแบบนี้ว่า Top-Fermentation นั่นเอง
  • อุณหภูมิ: จะใช้อุณหภูมิประมาณ 15-24 องศาเซลเซียส
  • ระยะเวลา: ใช้เวลาในการหมักน้อยกว่าเทคนิค Bottom-Fermentation แต่ทั้งนี้ก็ยังคงต้องใช้เวลาในการหมักนานอย่างน้อย หนึ่งสัปดาห์ จึงจะหมักได้เต็มที่
  • รสชาติ: อุณหภูมิการหมักที่อุ่นกว่ายังทำให้เบียร์มีรสชาติที่หลากหลาย และเข้มข้นมากขึ้น

ข้อจำกัดในอดีต

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อดี แต่กระบวนการหมักแบบนี้ก็มีข้อเสียเช่นกันคือ ควบคุมคุณภาพได้ยาก เบียร์มักมีอายุการเก็บรักษาสั้น และรสชาติก็อาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

สถานะปัจจุบัน

ปัจจุบันเบียร์ที่ผลิตด้วยเทคนิค Top-Fermentation ยังคงมีเอกลักษณ์เฉพาะในตัวเอง และยังคงเป็นที่ชื่นชอบของคนรักเบียร์อีกหลายคน นอกจากนี้เทคโนโลยีสมัยใหม่ยังมีแนวทางการควบคุมคุณภาพที่ดีขึ้นอีกด้วย

Bottom-Fermentation : การพัฒนาเพื่อเบียร์ Lager

ด้วยความที่เทคนิค Top-Fermentation ควบคุมคุณภาพได้ยากในสมัยก่อน ดังนั้นในช่วงปี ค.ศ. 1420 เทคนิคการหมักเบียร์แบบ Bottom-Fermentation จึงได้รับการพัฒนาขึ้นครั้งแรกใน บาวาเรีย ประเทศเยอรมนี

ลักษณะเด่น

  • กระบวนการ: การหมักเบียร์แบบ Bottom-Fermentation ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ผลิตเบียร์ประเภท ลาเกอร์ (Lager) เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นบริเวณด้านล่างของถังหมักเบียร์ ซึ่งก็คือยีสต์จะตกตะกอนอยู่ที่ก้นถังหมัก
  • อุณหภูมิ: จะใช้อุณหภูมิในการหมักที่เย็นกว่า Top-Fermentation ประมาณ 10-13 องศาเซลเซียส
  • ระยะเวลา: ใช้เวลาในการหมักนานกว่าประมาณ 4-8 สัปดาห์
  • รสชาติ: เบียร์ประเภทนี้ขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติที่นุ่มนวล สะอาด และสดชื่น มีสีเหลืองอำพันค่อนไปทางใส โดยทั่วไปแล้วจะได้รับความนิยมอยู่หลายชนิด เช่น Pilsners, Helles, Dunkels, Bocks

ข้อจำกัดในอดีต

ในอดีต การผลิตเบียร์โดยใช้เทคนิคนี้มักจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนที่มีอากาศหนาว และในบางภูมิภาคที่มีอากาศเย็นเท่านั้น โดยเฉพาะในบาวาเรีย เนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่มีเทคโนโลยีการทำความเย็น ดังนั้นเทคนิคนี้จึงได้รับความนิยมเฉพาะแค่ในบางพื้นที่
สถานะปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ในช่วง ศตวรรษที่ 19 เมื่อเทคโนโลยีความเย็นได้รับการพัฒนา เทคนิคการผลิตเบียร์ประเภทนี้ก็ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากตู้เย็นช่วยให้ผู้ผลิตเบียร์สามารถผลิตเบียร์ประเภทนี้ได้ตลอดทั้งปี และช่วยรักษาคุณภาพให้สม่ำเสมอ

ปัจจุบันโรงกลั่นเบียร์มากมายทั่วโลก ยังคงนำเทคนิคทั้งสองประเภทนี้มาใช้ในการผลิตเบียร์หลากหลายชนิด เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ Ale ที่มีคาแรคเตอร์จัดจ้าน หรือเบียร์ Lager ที่ดื่มง่าย สดชื่น


บทความที่เกี่ยวข้อง
Duvel Tripel Hop (ดูเวล ทริปเปิล ฮอปส์)
ทำความรู้จัก Duvel Tripel Hop (ดูเวล ทริปเปิล ฮอปส์) เบียร์สไตล์ Belgian Strong Pale Ale ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากโรงเบียร์ Duvel Moortgat ประเทศเบลเยียม
Trappist Beer (แทรปพิสท์ เบียร์)
Trappist Beer (แทรปพิสท์ เบียร์) : น้ำเมาศักดิ์สิทธิ์ที่ประดิษฐ์ขึ้นด้วยมือของนักบวช
Cognac (คอนญัก) และ Brandy (บรั่นดี)
Cognac (คอนญัก) และ Brandy (บรั่นดี) ต่างกันอย่างไร
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ