Chouffe (ชูฟ)
Chouffe (ชูฟ) เป็นแบรนด์เบียร์คราฟต์ที่ผลิตโดยโรงเบียร์ Brasserie d'Achouffe ที่ตั้งอยู่ใน Achouffe ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ รายล้อมไปด้วยป่า Ardennes ในแคว้น Wallonia ทางตอนใต้ของประเทศเบลเยียม เบียร์ของ Chouffe มีเอกลักษณ์ของความเป็นเบลเยียมอยู่เต็มเปี่ยม โดยเฉพาะยีสต์สายพันธุ์พิเศษและการผสมสมุนไพรในการต้มเบียร์ ทำให้มีกลิ่นที่หอมหวานคล้ายผลไม้และดอกไม้ ปัจจุบันมีการส่งออกไปมากถึง 70 ประเทศทั่วโลก
จุดเริ่มต้นจากความหลงใหลในโรงรถ
จุดเริ่มต้นของแบรนด์ มาจากการที่สองพี่น้องเขย Pierre Gobron และ Chris Bauweraerts ซึ่งมีความสนใจร่วมกันนั่นคือการทำเบียร์ พวกเขาเริ่มงานอดิเรกเล็ก ๆ นี้ขึ้นในโรงรถที่บ้านฟาร์มแห่งหนึ่ง ในสมัยนั้น การตั้งต้นทำโรงเบียร์ขนาดเล็กด้วยตัวเองหรือที่เรียกว่า โรงเบียร์คราฟต์ ไม่ใช่เรื่องง่ายและยังไม่มีใครเคยทำมาก่อน พวกเขาจึงต้องเริ่มตั้งแต่การประดิษฐ์เครื่องต้มขนาดเล็กที่เรียกว่า pico-brewery ขึ้นกันเอง
พวกเขาใช้เวลากว่า 2 ปีในการสร้างและติดตั้งอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการทำเบียร์ในพื้นที่โรงรถจนสามารถใช้งานได้จริง และได้ทำการผลิตเบียร์ครั้งแรกในวันที่ 27 สิงหาคม ปีค.ศ. 1982 ในปริมาณเพียง 49 ลิตรเท่านั้น ด้วยต้นทุนไม่ถึง 5,000 ฟรังก์ (ประมาณ 380,000 บาทในปัจจุบัน) ก่อนที่โรงเบียร์ Brasserie d'Achouffe ของพวกเขาจะจดทะเบียนเป็นโรงเบียร์คราฟต์ถูกกฎหมายแห่งแรกของเบลเยียม และยังเป็นโรงเบียร์ขนาดเล็กที่สุดที่ได้รับการรับรองในเวลานั้น
กำเนิด La Chouffe และมาสคอต Gnome
เบียร์ชนิดแรกของ Pierre และ Chris ใช้ชื่อว่า La Chouffe เป็นเบียร์ Belgian blond beer มีสีส้มขุ่นและรสชาติขมน้อย โดยคำว่า Chouffe เป็นคำที่ไม่มีความหมายเป็นพิเศษ แต่พวกเขาต้องการคำสั้น ๆ ที่ฟังแล้วติดหู เพื่อนร่วมงานของ Chris พยายามนำเสนอคำว่า Oumpf ขณะที่กำลังเคี้ยวอาหารในปาก ทำให้เสียงที่ออกมากลายเป็นคำว่า Chouffe ซึ่งหลังจากใช้เวลาพิจารณาแล้ว ทั้งสองเห็นพ้องกันว่าจะนำคำนี้มาเป็นชื่อแบรนด์
โดยปกติแล้ว เบียร์ยี่ห้อต่าง ๆ ในเบลเยียมมักนำเสนอภาพลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับศาสนา จากการที่กลุ่มนักบวช Trappist ในศาสนาคริสต์ได้ปรุงเบียร์ที่มีชื่อเสียงและอิทธิพลมากที่สุดของเบลเยียมอย่าง Trappist Beer ในศตวรรษที่ 19 และยังมีเบียร์ที่ประชาชนทั่วไปทำขึ้นเพื่อเลียนแบบ Trappist beer โดยเรียกว่า Abbey beer (Abbey หมายถึงโบสถ์หรืออาราม) แบรนด์เบียร์เบลเยียมในเวลาต่อมาจึงนิยมตกแต่งฉลากด้วยภาพนักบวชหรือภาพโบสถ์กันอย่างแพร่หลาย แม้ว่าเบียร์นั้น ๆ จะไม่ได้มีที่มาเกี่ยวกับศาสนาเลยก็ตาม
Pierre และ Chris ก็มีความสนใจที่จะสร้างฉลากให้กับเบียร์ของพวกเขาเอง สิ่งที่พวกเขาเห็นร่วมกันคือ ไม่ต้องการที่จะนำเสนอไปในด้านศาสนา และต้องการสิ่งที่แตกต่างออกไป วันหนึ่งในปี 1982 ขณะที่ Chris กำลังดูโทรทัศน์ที่นำเสนองานศิลปะการกุศลเพื่อฟื้นฟูป่า Ardennes จากพายุทอร์นาโด เขาได้เห็นงานชิ้นหนึ่งซึ่งมีภาพของ Gnome (โนม) ซึ่งเป็นคนแคระในนิทานปรัมปราของยุโรป และยังเป็นตำนานที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Ardennes ซึ่งเป็นเรื่องของชาว Nuton ซึ่งเป็นโนมที่มีพลังวิเศษในการดูแลพืชพรรณ เมื่อเห็นดังนั้น Chris จึงนำไอเดียนี้ไปปรึกษากับ Pierre ซึ่งเป็นครูสอนศิลปะในโรงเรียน ในเวลาต่อมา โนมก็กลายเป็นมาสคอตของแบรนด์และมีโนมตัวใหม่สำหรับเบียร์แต่ละชนิด รวมถึงมีเรื่องราวเฉพาะตัวอีกด้วย
ตั้งแต่การก่อตั้งโรงเบียร์ พวกเขาก็ยังทำการต้มเบียร์อีกหลายครั้ง จนกระทั่งในปีค.ศ. 1983 ในการต้มเบียร์ครั้งที่ 5 พวกเขาได้รับคำแนะนำจาก Pierre Celis นักทำเบียร์ชื่อดังผู้ก่อตั้ง Hoegaarden ให้เพิ่มเมล็ดผักชีเข้าไปใน La Chouffe ในการต้มครั้งนั้น นอกจากจะเป็นการบรรจุขวดพร้อมฉลากที่มีภาพวาดโนมเป็นครั้งแรกแล้ว ยังเป็นการเปิดตัว La Chouffe สูตรใหม่ครั้งแรกที่กลายเป็นลายเซ็นของพวกเขาไปตลอดกาลอีกด้วย โดยโนมตัวแรกที่เป็นสัญลักษณ์ของ La Chouffe มีชื่อว่า Marcel ซึ่งยังเป็นตัวแทนของเหล่าโนมทั้งหมดในครอบครัว Chouffe อีกด้วย
การเติบโตและการบุกเบิก Belgian IPA
หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ Pierre และ Chris ก็เปลี่ยนการทำเบียร์จากงานอดิเรกให้กลายเป็นงานประจำตลอดชีวิตของพวกเขา เริ่มจากการซื้อทั้งบ้านและที่ดินของโรงรถที่ทั้งสองใช้ทำเบียร์ และปรับปรุงให้กลายมาเป็นโรงเบียร์ขนาดใหญ่ขึ้นในปีค.ศ. 1986 และยังคงใช้เป็นสำนักงานใหญ่มาจนถึงปัจจุบัน และยังมีเบียร์ชนิดใหม่ ๆ ออกมา ได้แก่ Mc Chouffe เบียร์สีน้ำตาลที่ได้แรงบันดาลใจจาก Scotch Ale, Chouffe Bok 6666 ที่มีขายเฉพาะในเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศแรกที่ Chouffe ไปทำการตลาด, และ N'Ice Chouffe ซึ่งเป็นเบียร์สำหรับฤดูหนาว มีส่วนผสมของ Thyme และเปลือกส้ม จนเวลาผ่านไปร่วม 10 ปี ในปีค.ศ. 1992 โรงเบียร์ก็ขยายตัวยิ่งขึ้น มีการสร้างห้องต้มเพิ่ม ทำให้สามารถผลิตเบียร์ได้ถึงครั้งละ 7,000 ลิตร หรือปีละ 500,000 ลิตร
หลังจากแบรนด์เติบโตจนสามารถผลิตและส่งออกไปหลากหลายประเทศทั่วโลก ปีค.ศ. 2006 เป็นอีกหนึ่งจุดเติบโตที่สำคัญของ Chouffe คือการที่ได้รับข้อเสนอจากผู้นำเข้ารายหนึ่งในอเมริกาให้ผลิต IPA (Indian Pale Ale) เพื่อนำไปเปิดตัวภายในงาน Ultimate Belgian Tasting ซึ่งจัดในตึก Empire State นคร New York และมีความต้องการให้ใช้ฮอปส์ (พืชที่ใช้ในการป้องกันการเน่าเสีย ให้รสขมและความคงตัวของฟอง) 3 สายพันธุ์จากอเมริกา ได้แก่ Tomahawk, Saaz และ Amarillo
แม้ว่า IPA จะมีประวัติศาสตร์อันเก่าแก่และมีอิทธิพลต่อวงการเบียร์คราฟต์โดยเฉพาะในอเมริกา แต่เบียร์ชนิดนี้ก็ยังไม่อยู่ในความคุ้นเคยของชาวเบลเยียมมาก่อน อย่างไรก็ตาม สองพี่น้องก็ได้ริเริ่มผลิตเบียร์ชนิดใหม่นี้ขึ้น ด้วยการใช้ปริมาณฮอปส์เป็น 3 เท่าของ Le Chouffe และควบคุมระดับความขมให้อยู่ที่ 45 หน่วยซึ่งต่ำกว่า IPA โดยทั่วไป และต้มเข้ากับมอลต์สีอ่อนอย่าง Pilsner ตามแบบฉบับของ Chouffe ผลลัพธ์ที่ได้คือเบียร์ที่มีความขมอย่าง IPA อเมริกัน และมีกลิ่นหอมเอกลักษณ์ตามแบบฉบับเบียร์เบลเยียม
ในเดือนกุมภาพันธ์ ปีค.ศ. 2006 เบียร์ชนิดนี้ถูกเปิดตัวด้วยชื่อ Houblon Chouffe ซึ่งคำว่า Houblon หมายถึงฮอปส์ในภาษาฝรั่งเศส หลังจากนั้น เบียร์ชนิดใหม่ที่ผสมผสาน IPA ที่ชาวโลกคุ้นเคย เข้ากับเอกลักษณ์ของเบียร์จากเบลเยียม ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก จนเกิดเป็นประเภทใหม่ของเบียร์ที่เรียกว่า Belgian IPA ในปัจจุบันนี้ Chouffe ก็ยังคงมีเบียร์ชนิดนี้จำหน่ายโดยใช้ชื่อว่า Chouffe IPA
ความสำเร็จและการสานต่อวิสัยทัศน์
Brasserie d'Achouffe ได้รับรางวัลจากการสร้างสรรค์ Chouffe มากมาย และในปัจจุบัน ยังคงเป็นหนึ่งในโรงเบียร์ที่มีอิทธิพลต่อวงการเบียร์คราฟต์ในเบลเยียม กิจการถูกบริหารภายใต้บริษัทเบียร์ขนาดใหญ่ของประเทศอย่าง Duvel Moortgat ตั้งแต่ปีค.ศ. 2006 แบรนด์ยังคงสร้างสรรค์เบียร์ชนิดใหม่ ๆ เพื่อจับใจนักดื่มที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น Cherry Chouffe ที่มีความอ่อนโยนและสดชื่นของน้ำผลไม้, La Chouffe Alcohol-Free หรือสูตรปราศจากแอลกอฮอล์ และสูตรแอลกอฮอล์ต่ำอย่าง Chouffe Lite 4.0% รวมไปถึงเบียร์ตามฤดูกาลชนิดใหม่อย่าง Chouffe Soleil ที่ผสานความเป็น IPA เข้ากับ Wheat Beer มีกลิ่นของส้ม มะนาว วานิลลา ดอก Elderflower และสมุนไพร ทำให้ได้รสชาติที่สดชื่นและดื่มง่ายสำหรับฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน
โรงเบียร์ Brasserie d'Achouffe ก็ยังเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชม รวมถึงมีการจัดกิจกรรมและเทศกาลที่เชื่อมโยงกับชุมชน Achouffe อย่างสม่ำเสมอ ทั้งโครงการต่าง ๆ ที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมของป่า Ardennes และงานประจำปี La Grande Choufferie