แชร์

Peanut Butter (พีนัทบัตเตอร์)

เนยถั่ว (Peanut Butter) เป็นอาหารเช้าสุดคลาสสิกของชาวอเมริกันที่นิยมทาลงบนขนมปังปิ้งกรอบๆ ทานในตอนเช้า เพื่อเติมพลังงานก่อนไปทำกิจวัตรประจำวัน เนื่องจากเนยถั่วอุดมไปด้วยโปรตีน และไขมันดี ช่วยให้อิ่มท้องนาน สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้ Rimping Supermarket จะพาคุณไปเจาะลึกเรื่องราวเบื้องหลังสเปรดแสนอร่อยนี้กันค่ะ

จุดกำเนิดโบราณ: จากชาวแอซเท็กและอินคา สู่ถั่วลิสงในอเมริกาเหนือ

เนยถั่วมีประวัติย้อนกลับไปหลายพันปีก่อนใน อเมริกาใต้ ซึ่งเป็นที่ที่ชนพื้นเมืองปลูกถั่วลิสงกันอย่างแพร่หลาย เรื่องราวเล่าว่า ชาวแอซเท็ก และ ชาวอินคา นำถั่วลิสงคั่วมาบดให้เป็นเนื้อละเอียดผสมกับเครื่องเทศต่างๆ ที่มีรสชาติเผ็ดร้อนทานคู่กับขนมปังเป็นอาหารหลัก

การนำถั่วลิสงเข้าสู่ ทวีปอเมริกาเหนือ เกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1700 ผ่านการค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ด้วยเหตุนี้เกษตรกรชาวอเมริกันจึงเริ่มเพาะปลูกถั่วลิสงกันอย่างแพร่หลาย โดยในยุคนี้จะนิยมนำมาคั่วหรือทอดในน้ำมัน เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมในช่วง สงครามกลางเมือง เนื่องจากถั่วลิสงเป็นอาหารที่ให้พลังงาน และอุดมไปด้วยโปรตีน

การพัฒนาเชิงพาณิชย์และนวัตกรรม (ค.ศ. 1884 - 1922)

ในปี ค.ศ. 1884 กระบวนการพัฒนาถั่วลิสงในเชิงพาณิชย์ก็ได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อ Marcellus Gilmore Edson นักเคมีชาวแคนาดาได้จดทะเบียนสิทธิบัตรสำหรับเทคนิคการคั่วและเปลี่ยนถั่วลิสงให้กลายเป็นถั่วผงบดละเอียดที่มีเนื้อข้นหนืด

อย่างไรก็ตาม เทคนิคของ Marcellus ยังไม่ได้เป็นสูตรของเนยถั่วที่เรารู้จักในปัจจุบัน จนกระทั่งในปี 1895 Dr. John Harvey Kellogg (ผู้คิดค้นซีเรียลแบรนด์ Kellogg) ได้จดสิทธิบัตรกระบวนการผลิตเนยถั่วจากถั่วลิสงดิบ โดยวัตถุประสงค์หลักของเขาในตอนแรกคือเพื่อให้บุคคลที่มีปัญหาทางทันตกรรมได้ทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยไม่ต้องเคี้ยวถั่วลิสงทั้งเมล็ด

ต่อมาในปี ค.ศ. 1896 สื่อชื่อดังอย่าง Good Housekeeping ได้โฆษณาวิธีการทำเนยถั่วทานเองที่บ้าน โดยใช้เครื่องบดเนื้อ และแนะนำให้ผู้คนทานคู่กับขนมปังในตอนเช้า แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้ยังไม่ได้ทำให้เนยถั่วมีเนื้อเนียนละเอียดสม่ำเสมอ

ในปี 1903 Joseph Lambert พนักงานที่ทำงานให้กับ Kellogg ได้คิดค้นเครื่องจักรในการคั่วและบดถั่วลิสงขนาดใหญ่ขึ้นมา หลังจากนั้นเขาก็ลาออกจากบริษัทเพื่อเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองในชื่อ Lambert Food Company เพื่อขายเครื่องจักรนี้ จากนั้นเป็นต้นมาจึงมีธุรกิจเนยถั่วเกิดขึ้นมากมายในสหรัฐอเมริกา

ในปี 1922 Joseph L. Rosefield นักเคมีและนักธุรกิจจากแคลิฟอร์เนีย ได้คิดค้นวิธีทำให้เนยถั่วเหลวขึ้นด้วยการเติมน้ำมันพืชเข้าไป ทำให้ได้ความสม่ำเสมอที่นุ่มนวลยิ่งขึ้น เรียกว่าเนยถั่ว ชนิดไม่แยกชั้น จนได้มาเป็นเนยถั่วที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน จากนั้นเขาก็พัฒนาผลิตภัณฑ์จากถั่วในรูปแบบต่างๆ รวมถึงเนยถั่วไขมันต่ำ เพื่อตอบสนองรสนิยมที่หลากหลาย

ความนิยมทั่วโลกและหลากหลายรูปแบบในปัจจุบัน

ตลอด ศตวรรษที่ 20 ความนิยมของเนยถั่วยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเกิดจากการปันส่วนเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากนมในช่วง สงครามโลกครั้งที่สอง ดังนั้นเนยถั่วจึงกลายเป็นทางเลือกที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และราคาไม่แพง สามารถเข้าถึงได้ง่ายในครัวเรือนของชาวอเมริกัน

ปัจจุบันเนยถั่วได้รับความนิยมไปทั่วโลก ได้รับการพัฒนาให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น เนยถั่วอบน้ำผึ้ง และเนยถั่วผสมช็อกโกแลต ซึ่งถูกนำไปใช้ในอาหารแปรรูปมากมาย เช่น ลูกอมช็อกโกแลต ไอศกรีม สแน็กบาร์ และคุกกี้

Tags :

บทความที่เกี่ยวข้อง
Fish & Chips (ฟิช แอนด์ ชิปส์)
Fish & Chips (ฟิช แอนด์ ชิปส์) อาหารสุดเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่หยั่งรากฝังลึก จนกลายมาเป็นอาหารประจำชาติของประเทศอังกฤษ
hepherds and Cottage Pie (เชปเพิร์ดส์ และคอตเทจพาย)
ชวนรู้จัก Shepherds and Cottage Pie (เชปเพิร์ดส์ และคอตเทจพาย) : จากอาหารธรรมดาของคนเลี้ยงแกะ สู่การเป็นอาหารสุดหรูของผู้ดีอังกฤษ
น้ำมันหมู vs. น้ำมันพืช
น้ำมันหมู vs. น้ำมันพืช : ไขข้อถกเถียงและทางเลือกเพื่อสุขภาพ
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ