Elderflower (เอลเดอฟลาวเวอร์)
เอลเดอฟลาวเวอร์ (Elderflower) เป็นดอกไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปยุโรป ได้มาจากต้นเอลเดอร์เบอร์รี่ มีลักษณะเป็นช่อสีขาวเกาะเป็นพุ่มๆ มีกลิ่นหอมละมุน รสชาติหวานอมเปรี้ยว มักออกดอกช่วงปลายเดือนพฤษภาคมถึงช่วงต้นเดือนมิถุนายน นิยมนำมาสกัดทำเป็นชาสมุนไพร แยม ไซรัป ลิเคียว แชมเปญ และโทนิค วันนี้ Rimping Supermarket จะพาคุณไปทำความรู้จักกับดอกไม้มากเสน่ห์ชนิดนี้กันค่ะ
ตำนานและวัฒนธรรม: ราชินีแห่งป่าและโชคลาง
Elderflower มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Sambucus nigra อยู่ในวงศ์ Adoxaceae มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งเกี่ยวข้องกับนิทานพื้นบ้านของชาวยุโรป ตำนานเล่าว่าในนิทานพื้นบ้านเชื่อกันว่าต้นเอลเดอร์เบอร์รี่มีวิญญาณหรือสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติอาศัยอยู่เรียกกันว่า ราชินีแห่งป่า (Queen of the Woods) หรือ แม่ผู้อาวุโส (Elder Mother) ซึ่งชาวยุโรปโบราณเชื่อกันว่าต้นไม้นี้มีพลังในการป้องกันวิญญาณชั่วร้าย จึงนิยมปลูกเอาไว้ใกล้บ้าน
นอกจากนี้ดอกและผลเบอร์รี่ของต้นเอลเดอร์เบอร์รี่ยังนิยมนำมาใช้ในงานมงคลอีกด้วย เช่น งานแต่งงาน ช่วงเทศกาลต่างๆ เนื่องจากเชื่อกันว่ากลิ่นหอมหวานของ Elderflower จะช่วยขับไล่วิญญาณชั่วร้ายและนำโชคดีมาสู่ครัวเรือน ดังนั้นต้นเอลเดอร์เบอร์รี่จึงกลายเป็นส่วนสำคัญของความเชื่อและการปฏิบัติทางวัฒนธรรม
สรรพคุณทางการแพทย์: ยาครอบจักรวาล
ไม่เพียงเท่านี้ในทางการแพทย์ Elderflower ยังถูกขนานนามว่าเป็นพืชสารพัดประโยชน์ด้วยเช่นกัน เนื่องจากมีสรรพคุณที่หลากหลาย ว่ากันว่าในอดีตชาวโรมันมักจะนำไปผสมในไวน์ดื่ม เพื่อรักษาโรคไขข้ออักเสบ ต้านไวรัส โรคภูมิแพ้ อาการไอ ไข้หวัดใหญ่ และกล่องเสียงอักเสบ โดยได้รับการยกย่องว่าเป็นยาครอบจักรวาลสำหรับรักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ นอกจากนี้ยังขึ้นชื่อว่ามีคุณสมบัติในการปลอบประโลมผิว จึงเป็นส่วนผสมยอดนิยมในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เช่น ครีม โลชั่น และโทนเนอร์
ความนิยมในอาหาร เครื่องดื่ม และสัญลักษณ์แห่งความรัก (ยุคกลาง - ยุควิคตอเรียน)
ในช่วง ยุคกลาง Elderflower เริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นในโลกของการทำอาหารและเครื่องดื่ม ชาวยุโรปนิยมนำมาทำเป็นแยม ขนมหวาน ไซรัป ลิเคียว ชา แชมเปญ ไวน์ และโทนิค ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มคนชั้นสูง
ใน ยุควิคตอเรียน Elderflower กลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความโรแมนติก โดยดอกไม้มักจะถูกนำไปทำเป็นช่อดอกไม้สำหรับเจ้าสาวในงานแต่งงาน ซึ่งสื่อถึงความบริสุทธิ์ และความรักชั่วนิรันดร์ นอกจากนี้น้ำหอม และเครื่องใช้ที่มีกลิ่นหอมของ Elderflower ในยุคนี้ยังกลายเป็นสินค้าพรีเมี่ยมในหมู่ชนชั้นสูงอีกด้วย
การประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน: จากค็อกเทลสู่เมนูอาหารคาวหวาน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Elderflower ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเชฟและนักผสมเครื่องดื่มเริ่มนำมาทำเป็นอาหารและเครื่องดื่มใหม่ๆ มากมาย เช่น St-Germain Spritz ที่นิยมนำไปทำค็อกเทล Elderflower French 75 และเชฟมักจะนำมาเพิ่มความหอมให้กับเค้ก เยลลี่ และไอศกรีม ในส่วนของอาหารคาวมักจะนำมาจับคู่กับเนื้อแกะ แซลมอน Casserole และ Gruyere Cheese