Malt Vinegar (มอลต์ วีนีการ์)
เช่นเดียวกับน้ำส้มสายชูชนิดอื่นๆ จุดเริ่มต้นของ น้ำส้มสายชูมอลต์ (Malt Vinegar) ก็คือแอลกอฮอล์ แต่แอลกอฮอล์ในที่นี้คือ เบียร์เอล (Ale) ที่ทำมาจากมอลต์ ซึ่งแตกต่างจากน้ำส้มสายชูยุโรปส่วนใหญ่ที่มักผลิตโดยการหมักเอทิลแอลกอฮอล์ไว้ในไวน์ด้วยแบคทีเรียในกลุ่ม Acetobacter และ Gluconobacter วันนี้ Rimping Supermarket จะพาทุกท่านไปย้อนรอยประวัติศาสตร์ของเครื่องปรุงรสที่เป็นเอกลักษณ์นี้กันค่ะ
ต้นกำเนิดโดยบังเอิญในอังกฤษ
ต้นกำเนิดของน้ำส้มสายชูมอลต์มีประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปใน ประเทศอังกฤษ เมื่อหลายศตวรรษที่ผ่านมา ตำนานเล่าว่าน้ำส้มสายชูมอลต์เกิดขึ้นจากความบังเอิญในอุตสาหกรรมการผลิตเบียร์เอล เนื่องจากผู้ผลิตเบียร์เอลปล่อยให้เบียร์สัมผัสกับอากาศนานเกินไปจนเบียร์มีรสชาติเปรี้ยว เป็นผลมาจากแบคทีเรียในอากาศเปลี่ยนแอลกอฮอล์ให้กลายเป็น กรดอะซิติก (Acetic acid) การเปลี่ยนแปลงโดยไม่ตั้งใจในครั้งนี้ทำให้เกิดน้ำส้มสายชูมอลต์ขึ้นมานั่นเอง
หลังจากปรากฏตัวครั้งแรก น้ำส้มสายชูมอลต์ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วง ยุคกลางของยุโรป อารามหลายแห่งที่ผลิตเบียร์เอลเริ่มหันมาผลิตและจำหน่ายน้ำส้มสายชูมอลต์กันเพิ่มขึ้น ซึ่งชาวเมืองไม่เพียงแต่นำไปใช้ในการทำอาหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสรรพคุณทางยาอีกด้วย
การเติบโตของอุตสาหกรรมและการแพร่หลาย
ใน ศตวรรษที่ 17 รัฐบาลอังกฤษเริ่มเก็บภาษีสำหรับการจำหน่ายน้ำส้มสายชูมอลต์ ซึ่งการจัดเก็บภาษีนี้ชี้ให้เห็นว่าการผลิตน้ำส้มสายชูมอลต์กลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของอังกฤษในขณะนั้น และเมื่อเส้นทางการค้าเริ่มขยายออกไป น้ำส้มสายชูมอลต์ก็มีชื่อเสียงโด่งดังกลายเป็นเครื่องปรุงรสยอดนิยมสำหรับ ฟิชแอนด์ชิปส์ (Fish and Chips) และอาหารอังกฤษคลาสสิกอื่นๆ อย่างรวดเร็ว
ต่อมาใน ศตวรรษที่ 19 น้ำส้มสายชูมอลต์ก็ถูกพัฒนาให้มีสีเข้มขึ้น เนื่องจากต้องแข่งขันกับน้ำส้มสายชูนำเข้าราคาถูกที่ทำจากกากน้ำตาลที่มีสีเข้ม ซึ่งชาวเมืองจะคุ้นเคยมากกว่า ดังนั้นผู้ผลิตจึงเริ่มปรับน้ำส้มสายชูมอลต์จากสีเหลืองอำพันมาเป็นสีน้ำตาลเข้มที่เรารู้จักในปัจจุบัน
ความนิยมทั่วโลกและคุณประโยชน์
ความนิยมของน้ำส้มสายชูมอลต์ในภูมิภาคอื่นๆ เริ่มแพร่กระจายไปพร้อมกับอาณานิคมของ จักรวรรดิอังกฤษ ตั้งแต่อินเดีย สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี ไปจนถึงจาเมกา เช่น ในสหรัฐอเมริกามักทานคู่กับเฟรนช์ฟรายส์และหัวหอมทอด ในเอเชียโดยเฉพาะอย่างยิ่งในญี่ปุ่นและเกาหลี น้ำส้มสายชูมอลต์มักจะทานคู่กับซูชิ ซาซิมิ สลัด หรือใช้เป็นส่วนผสมในการทำน้ำจิ้มต่างๆ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา น้ำส้มสายชูมอลต์ยังคงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ที่มีความนุ่มนวล หวาน และเป็นกรดอ่อนๆ แตกต่างจากน้ำส้มสายชูชนิดอื่นๆ ที่มีรสชาติค่อนข้างเปรี้ยวและมีความเป็นกรดมากกว่า
นอกจากเอกลักษณ์ดังกล่าวแล้ว น้ำส้มสายชูมอลต์ยังมีคุณค่าทางโภชนาการอีกหลากหลาย อุดมไปด้วย วิตามินซี แร่ธาตุโพแทสเซียม ช่วยปรับปรุงการดูดซึมอินซูลินในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองได้อีกด้วย