แชร์

Ambrosia (แอมโบรเซีย)

Ambrosia (แอมโบรเซีย) เป็นสลัดผลไม้ชนิดหนึ่ง มีต้นกำเนิดในตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ส่วนผสมพื้นฐานที่พบได้มากที่สุดประกอบไปด้วยเนื้อส้ม (ในบางครั้งก็มีการเพิ่มหรือแทนที่ด้วยสับปะรด) ซึ่งมักใช้แบบกระป๋องที่ปรุงรสหวาน, มาร์ชแมลโลว์, น้ำตาล และเนื้อมะพร้าว อาจเติมผลไม้ประเภทอื่นและถั่วประเภทต่างๆ เช่น maraschino cherry, กล้วย, สตรอว์เบอร์รี่, องุ่นปอกเปลือก และถั่วพีแคน จากนั้นจึงคลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดเข้ากับมายองเนสหรือผลิตภัณฑ์จากนม เช่น วิปครีม หรือครีมเปรี้ยว เมื่อทำเสร็จแล้วจะนิยมนำไปแช่เย็นไว้ระยะเวลาหนึ่งก่อนรับประทาน เพื่อให้เกิดการซึมซับรสชาติ

ที่มาของชื่อ Ambrosia

ชื่อของ Ambrosia มีที่มาจากตำนานกรีกโบราณ มีความหมายตรงตัวว่า ความเป็นอมตะ ซึ่งใช้เรียกอาหารและเครื่องดื่มที่เหล่าเทพเจ้าแห่งหุบเขาโอลิมปัสใช้ดื่มกินในงานเลี้ยงสังสรรค์ ตามตำนานกล่าวไว้ว่า อาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้ สามารถมอบอายุขัยหรือความเป็นอมตะให้ใครก็ตามที่ได้บริโภค โดยในวรรณกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง มักพรรณนาถึง Ambrosia ว่าเป็นของเหลวที่มีความหอมหวาน ซึ่งอาจหมายถึงน้ำหวานจากพืชพรรณ น้ำผึ้ง น้ำอมฤต หรือน้ำหอม เมื่อนำมาตั้งชื่อเมนูนี้ ก็เพื่อสื่อถึงวิตามินต่างๆ จากผลไม้และน้ำตาลที่ให้พลังงานเมื่อได้บริโภคนั่นเอง

การถือกำเนิดและวิวัฒนาการของ Ambrosia

Ambrosia ในฐานะสลัดผลไม้ ถูกกล่าวถึงอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี ค.ศ. 1867 ในหนังสือ Dixie Cookery โดย Maria Massey Barringer ซึ่งเป็นหนังสือที่นำเสนอสูตรอาหารสำหรับเหล่าแม่บ้านในตอนใต้ของสหรัฐ โดยได้มีการอธิบายวิธีทำเอาไว้ว่า ขูดเนื้อส่วนสีขาวของมะพร้าวออกมา ปรุงรสด้วยน้ำตาลเล็กน้อยแล้ววางลงในชามแก้ว จากนั้นจัดเรียงชั้นกลางด้วยเนื้อส้มบด และวางเนื้อมะพร้าวอีกส่วนไว้เป็นชั้นบนสุด และจัดเสิร์ฟโดยวางบนจานรอง

สูตรของ Ambrosia ในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ต่างพูดถึงส่วนผสมเพียงแค่ 3 ชนิดนี้ แต่หลังจากปี ค.ศ. 1880 เป็นต้นมา กระแสของ Exotic fruit เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในอเมริกา สับปะรด กล้วย และ maraschino cherry เริ่มเข้ามามีบทบาทต่อสูตรของ Ambrosia รวมไปถึงการเพิ่มวิปครีมหรือมายองเนส ทำให้สลัดชนิดนี้เปลี่ยนภาพลักษณ์จากสลัดผลไม้อย่างง่าย ไปเป็นขนมหวานหรูหราที่ประกอบด้วยผลไม้นำเข้าราคาแพง

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1900 เป็นต้นมา Ambrosia ได้ถูกพัฒนาไปในแนวทางที่ทันสมัยยิ่งขึ้น ในช่วงเวลานี้ การผลิตมาร์ชแมลโลว์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกในยุโรป โดยในปี ค.ศ. 1926 มีผลิตภัณฑ์ในรูปแบบของเหลวข้นที่เรียกว่า Marshmallow Whip สูตรขนมหวานที่ประกอบด้วยวัตถุดิบชนิดนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมากมาย รวมถึง Ambrosia ด้วย โดยสูตรที่มีปรากฏจะเป็นการนำ Marshmallow whip ตีเข้ากับไข่จนออกมามีเนื้อสัมผัสคล้ายวิปครีม หลังจากนั้นไม่นาน ก็เริ่มมีการผลิตมาร์ชแมลโลว์ในรูปขนมชิ้นเล็กที่มีสัมผัสนุ่ม ซึ่งก็ถูกนำไปประยุกต์ใส่ใน Ambrosia เช่นกัน

จากความหรูหราสู่เมนูเทศกาล

สูตรของ Ambrosia นั้นมีออกมามากมาย และมีการผสมผสานใส่ผลไม้และถั่วมากมายหลายชนิดเท่าที่ผู้คิดค้นสูตรจะสร้างสรรค์ได้ และยังคงอยู่ในฐานะของหวานที่หรูหราอยู่หลายสิบปี จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงปลาย ศตวรรษที่ 20 ผลไม้ต่างๆ ที่เคยหายากก็สามารถหาซื้อได้ง่ายขึ้น Ambrosia จึงกลายมาเป็นของหวานที่ชนชั้นกลางสามารถจับต้องได้ กระแสความนิยมของสลัดชนิดนี้ค่อยๆ คลายความโดดเด่นลงโดยไม่ได้มีสาเหตุแน่ชัด แต่คาดว่าเป็นเพราะความแตกต่างของแต่ละวัตถุดิบที่ไม่อยู่ในความคุ้นเคยของผู้คนยุคหลังอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม Ambrosia ยังคงเป็นเมนูที่มีที่ยืนในพื้นที่ต้นกำเนิดอย่างภาคใต้ของสหรัฐ ซึ่งสัมพันธ์กับเทศกาล คริสต์มาส ซึ่ง Ambrosia ถูกนำเสนอตามสื่อสิ่งพิมพ์ในฐานะเมนูสำหรับเทศกาลนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1922 เป็นต้นมา นอกจากการที่วัตถุดิบหลักอย่างส้มเป็นผลไม้ประจำฤดูหนาวที่มีวางขายในเดือนธันวาคมแล้ว การเพิ่มส่วนผสมอย่างมาร์ชแมลโลว์ เชอร์รี่ และถั่วต่างๆ ก็สร้างความสวยงามและความหลากหลายของรสชาติ ซึ่งเหมาะกับบรรยากาศการเฉลิมฉลองเป็นอย่างมาก

Tags :

บทความที่เกี่ยวข้อง
Cobbler (ค็อบเบลอร์)
ย้อนรอยประวัติศาสตร์ของ Cobbler (ค็อบเบลอร์) ขนมหวานที่มีรากฐานจากชาวอังกฤษสู่สหรัฐอเมริกา
Baked Apple (แอปเปิ้ลอบ)
ทำความรู้จัก Baked Apple (แอปเปิ้ลอบ) เมนูที่เรียบง่ายแต่ดึงดูดจากยุโรป
Avocado Lamaw (อโวคาโดลาเมา)
ทำความรู้จัก Avocado Lamaw (อโวคาโดลาเมา) การรับประทานอโวคาโดแบบดั้งเดิมของชาวฟิลิปปินส์
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ