แชร์

Pralines (พราลีน)

ในประเทศฝรั่งเศสมีขนมหวานมากมายที่โด่งดังไปทั่วโลก ก้าวข้ามขอบเขตทางวัฒนธรรมจนกลายเป็นที่รู้จักของคนทุกเชื้อชาติ และในบรรดาขนมหวานสุดคลาสสิกของฝรั่งเศสเหล่านั้น พราลีน (Pralines) ถือเป็นขนมหวานอีกหนึ่งชนิดที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานและเรื่องราวที่น่าสนใจ

ต้นกำเนิดของพราลีน: จากราชสำนักฝรั่งเศสสู่ความหวานกรุบกรอบ

เรื่องราวของพราลีนมีต้นกำเนิดย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 17 ณ ประเทศฝรั่งเศส ในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กล่าวกันว่าขนมชนิดนี้ได้แนวคิดมาจาก Marshal du Plessis-Praslin นักการทูตชาวฝรั่งเศสผู้ซึ่งชื่นชอบขนมหวานเป็นอย่างมาก ท่านได้นำไอเดียการทำขนมนี้ไปบอกกล่าวต่อพ่อครัวส่วนตัวของเขา เพื่อให้พ่อครัวรังสรรค์พราลีนขึ้นมา โดยการนำอัลมอนด์มาผสมผสานกับคาราเมล จนได้มาซึ่งขนมอัลมอนด์เคลือบคาราเมลที่มีรสชาติหวานหอมและเนื้อสัมผัสที่กรุบกรอบน่ารับประทาน

ในฝรั่งเศส ขนมชนิดนี้ถูกเรียกว่า พราลิเน่ (Pralinés) ซึ่งตั้งชื่อตามนักการทูตชาวฝรั่งเศสผู้เป็นแรงบันดาลใจ เมื่อเวลาผ่านไป พราลีนก็ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองมอนตาร์จิส (Montargis) ซึ่งเป็นที่ที่ชนชั้นสูงมักจะอาศัยอยู่ และในไม่ช้า ความนิยมของพราลีนก็แพร่หลายไปทั่วยุโรป นำไปสู่การสร้างสรรค์พราลีนในรูปแบบใหม่ ๆ ที่หลากหลาย

Pink Praline: เอกลักษณ์จากเมือง Lyon

อย่างไรก็ตาม พราลีนที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นพิเศษในฝรั่งเศสมาจากเมืองลียง (Lyon) ซึ่งเป็นพราลีนที่ทำมาจากอัลมอนด์เคลือบด้วยผลึกน้ำตาลสีชมพู โดยส่วนใหญ่มักเรียกกันว่า Pink Praline หรือ Praline Rose ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของขนมหวานประจำภูมิภาคนี้

ในยุโรป พราลีนไม่เพียงเป็นขนมหวานเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ของงานฝีมือและความประณีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักทำช็อกโกแลตชาวเบลเยียมได้ยกระดับศิลปะการทำพราลีนขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการออกแบบที่มีความประณีตบรรจงและการผสมผสานรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ที่ยังคงดึงดูดผู้ที่ชื่นชอบช็อกโกแลตทั่วโลกให้หลงใหลไม่เสื่อมคลาย

การเดินทางข้ามทวีป: พราลีนพีแคนแห่งนิวออร์ลีนส์

ในปี ค.ศ. 1727 พราลีนได้รับการแนะนำให้รู้จักในเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแม่ชี Ursuline ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวฝรั่งเศส ขณะอาศัยอยู่ที่นี่ แม่ชีได้นำเอาวัฒนธรรมการทำขนมชนิดนี้มาเผยแพร่ให้กับชาวบ้านในนิวออร์ลีนส์ แต่ทว่าในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกา การขาดแคลนอัลมอนด์ทำให้พวกเขาต้องปรับเปลี่ยนมาใช้ถั่วพีแคนซึ่งหาได้ง่ายกว่าในท้องถิ่นแทน จนเกิดเป็น พราลีนพีแคน (Pecan Pralines) ที่คนอเมริกันรู้จักและชื่นชอบในปัจจุบัน

เมื่อพราลีนได้รับความนิยมมากขึ้นในอเมริกา ชาวบ้านในนิวออร์ลีนส์ก็เริ่มขายพราลีนพีแคนกันตามท้องถนน โดยส่วนใหญ่แล้วจะขายให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเมืองแห่งนี้ จนทำให้พราลีนพีแคนกลายเป็นขนมหวานอันเป็นเอกลักษณ์และเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอาหารของนิวออร์ลีนส์นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

วิวัฒนาการและความหลากหลายของพราลีนในปัจจุบัน

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พราลีนมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีความหลากหลายตามภูมิภาคและเข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ปัจจุบันพราลีนมีหลากหลายรสชาติ โดยยังคงใช้ถั่วพีแคนและอัลมอนด์เป็นส่วนผสมหลัก แต่มีการเคลือบด้วยรสชาติใหม่ ๆ อย่างช็อกโกแลต มะพร้าว หรือแม้แต่พราลีนในรูปแบบอาหารคาวที่มีส่วนผสมของเบคอนและชีส ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่หยุดนิ่งในโลกของการทำอาหาร

ตลอดประวัติศาสตร์ พราลีนมีความสำคัญทางวัฒนธรรมมากกว่าเป็นแค่ขนมหวานกรุบกรอบ ในแถบตอนใต้ของอเมริกา พราลีนถั่วพีแคนได้กลายเป็นส่วนสำคัญของอาหารต้อนรับในวันหยุด การเฉลิมฉลองต่าง ๆ รวมถึงเป็นของที่ระลึกยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความผูกพันของขนมชนิดนี้กับวิถีชีวิตและประเพณีของผู้คน

Tags :

บทความที่เกี่ยวข้อง
Subak Hwachae (ซูบักฮวาแช)
ทำความรู้จัก Subak Hwachae (ซูบักฮวาแช) ของหวานคลายร้อนจากเกาหลีที่ส่งต่อความสดชื่นข้ามศตวรรษ
Pavlova (พัฟโลวา)
เรื่องราวของ Pavlova (พัฟโลวา) จากบัลเลต์สู่ขนมหวานแสนอร่อยระดับโลก
ระบบการจัดเกรดเนื้อวัว
เจาะลึกระบบการจัดเกรดและ Marbling Score
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ