Mille feuille (มิลย์เฟย)
Mille feuille (มิลย์เฟย) เป็นขนมหวานสัญชาติฝรั่งเศส ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ขนมหวานแห่งชัยชนะ เนื่องจากตำนานของมิลย์เฟยนั้นมีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การทำสงครามของหลายประเทศ ทั้งฝรั่งเศสและรัสเซีย ทำให้ขนมชิ้นนี้มีเรื่องราวที่น่าสนใจไม่แพ้รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์
ต้นกำเนิดและความหมายของชื่อ "มิลย์เฟย"
อย่างไรก็ตาม ต้นกำเนิดของมิลย์เฟยยังไม่มีที่มาระบุแน่ชัดว่าเริ่มต้นขึ้นที่ใด แต่มิลย์เฟยสูตรแรกปรากฏอยู่ในตำราอาหารชื่อ Le Cuisinier françois ของ François Pierre de la Varenne นักประวัติศาสตร์ด้านอาหารชื่อดังชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นตำราเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 (ยุคพระเจ้าหลุยส์ที่ 14) แสดงให้เห็นว่าขนมชนิดนี้มีประวัติยาวนานคู่กับราชสำนักฝรั่งเศส
Mille feuilles เป็นคำภาษาฝรั่งเศส ที่มาจากคำว่า Mille แปลว่า หนึ่งพัน กับคำว่า Feuille ที่ใช้เรียกวัสดุที่มีลักษณะเป็นแผ่นบาง ๆ หรือแปลว่าใบไม้ก็ได้ ดังนั้นมิลย์เฟยจึงแปลว่า "ใบไม้หรือแผ่นบาง ๆ หนึ่งพันแผ่น" ซึ่งสื่อถึงลักษณะของขนมที่ประกอบด้วย แป้งพาย (Puff Pastry) บางกรอบซ้อนกันหลายชั้น (โดยทั่วไปคือ 3 ชั้น แต่ให้ความรู้สึกเหมือนมีหลายพันแผ่น) สลับกับไส้ครีมที่สามารถรังสรรค์รสชาติได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นครีมคัสตาร์ด ครีมวานิลลา หรือแม้แต่ผลไม้สด นับเป็นขนมที่แสดงถึงความประณีตในการทำอย่างแท้จริง
มิลย์เฟยในตำนานสงคราม: ขนมของนโปเลียนและการฉลองชัยของรัสเซีย
ในตำนานที่กล่าวว่ามิลย์เฟยเป็นขนมหวานแห่งชัยชนะ ถูกเล่าขานโดยชาวปารีเซียง ซึ่งพวกเขาเชื่อว่า จักรพรรดินโปเลียน รับประทานมิลย์เฟยก่อนออกรบเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย เพื่อเพิ่มความหวานให้ร่างกายทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีพลังงาน เมื่อออกรบชนะบ่อยครั้งเข้าจึงกลายเป็นว่าจักรพรรดินโปเลียนมักจะทานมิลย์เฟยเป็นอาหารเช้าทุกวัน จนชาวฝรั่งเศสดั้งเดิมพลอยเรียกมิลย์เฟยว่า ขนมนโปเลียน
ในส่วนของรัสเซียเองก็มีเรื่องเล่าเสียดสีความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสด้วยเช่นกัน เมื่อครั้ง สงครามรักชาติในปี ค.ศ. 1812 ที่นโปเลียนบุกรัสเซียแล้วพ่ายแพ้สงคราม ทำให้ชาวรัสเซียใช้มิลย์เฟยเป็นขนมฉลองชัยชนะ จากดั้งเดิมที่มีรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้า ครั้งนี้ชาวรัสเซียทำมิลย์เฟยรูปร่างเลียนแบบ หมวกของนโปเลียน โรยด้วยน้ำตาลไอซิง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของพายุหิมะแห่งรัสเซีย ที่มีความแข็งแกร่งจนสามารถทำลายกองทัพของนโปเลียนไปได้ เรื่องราวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของมิลย์เฟยในฐานะสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการเมืองในอดีตได้อย่างชัดเจน
การยกระดับสู่ศิลปะชั้นสูงโดย Marie-Antoine Carême
เมื่อเวลาผ่านไปในศตวรรษที่ 19 มิลย์เฟยรูปแบบใหม่ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นมาอีกครั้ง โดย Marie-Antoine Carême เชฟผู้มีชื่อเสียงในชนชั้นสูงของฝรั่งเศส ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น "ราชาแห่งเชฟและเชฟแห่งราชา" ได้พัฒนามิลย์เฟยให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยตกแต่งลวดลายให้เป็นรูปใบไม้ แล้วตั้งชื่อตามบทกวีว่า Gâteau de mille feuilles ซึ่งแปลว่า "เค้กหนึ่งพันใบ" เป็นการอ้างอิงถึงความละเอียดอ่อนของชั้นแป้งพาย
ความสามารถในการทำอาหารของ Carême ได้เปลี่ยนมิลย์เฟยให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของอาหารชั้นสูงของฝรั่งเศส โดยใช้เทคนิคการทำที่ประณีตเป็นอย่างมากและใช้วัตถุดิบคุณภาพดีเพียง 3 อย่าง ได้แก่ แป้งพาย วิปครีม (กลิ่นวานิลลา) และน้ำตาลไอซิ่ง แล้วตกแต่งให้สวยงาม ซึ่งเป็นการยกระดับมิลย์เฟยจากขนมเรียบง่ายสู่ผลงานศิลปะที่ละเอียดอ่อนและหรูหรา สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการขนมหวานฝรั่งเศส
มิลย์เฟยในปัจจุบัน: ความหลากหลายไม่รู้จบและการเป็นที่นิยมระดับโลก
เนื่องจากความคิดสร้างสรรค์ในการทำอาหารไม่มีขอบเขต ทุกวันนี้มิลย์เฟยจึงถูกพัฒนาให้มีรูปแบบต่าง ๆ นับครั้งไม่ถ้วน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเชฟทั่วโลกได้ทดลองทำไส้ต่าง ๆ เช่น ผลไม้สด คัสตาร์ด ช็อกโกแลต หรือแม้แต่รูปแบบอาหารคาว เช่น แซลมอนรมควันและฟัวกราส์ ก็ถูกนำมาทำเป็นไส้มิลย์เฟยด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นการเปิดมิติใหม่ให้กับขนมคลาสสิกนี้
การดัดแปลงเหล่านี้สะท้อนถึงรสนิยมที่เปลี่ยนแปลงไปของวัฒนธรรมต่าง ๆ และความปรารถนาที่จะผสมผสานรสชาติใหม่ ๆ ให้เข้ากับความคลาสสิกของมิลย์เฟย ด้วยรสชาติอันเลิศรสผสานกับหน้าตาที่หรูหรา มิลย์เฟยจึงได้รับความสนใจอย่างรวดเร็วจากราชวงศ์และสังคมชั้นสูงจนกลายเป็นอาหารประจำงานเฉลิมฉลองทั่วราชสำนักในยุโรป ทั้งฝรั่งเศส รัสเซีย และอังกฤษ และยังคงเป็นขนมคลาสสิกที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้ เป็นเครื่องยืนยันถึงความอมตะของความงามและรสชาติที่ลงตัว