แชร์

Oregano (ออริกาโน่)

หากเอ่ยถึงออริกาโน่ สิ่งแรกที่ชาวไทยหลายคนนึกถึงคงจะเป็นหน้าพิซซ่าที่ถูกโรยด้วยผงออริกาโน่หอมอร่อย เพราะในบ้านเราภาพจำของออริกาโน่มักจะมาคู่กับพิซซ่า แต่ในทางกลับกันถ้าใครหลายคนได้ลองทานอาหารตะวันตกประเภทอื่น ๆ จะรู้เลยว่าออริกาโน่ไม่ได้มีแค่แบบแห้ง แต่ยังมีออริกาโน่แบบสดที่มักจะถูกนำมาเป็นส่วนประกอบอยู่ในจาน

กำเนิดจากขุนเขา: สัญลักษณ์แห่งความสุขของชาวกรีก

เมื่อนานมาแล้ว ออริกาโน่เติบโตขึ้นเองตามธรรมชาติบนภูเขาที่มีแสงแดดอบอุ่น และสภาพอากาศที่สมบูรณ์แบบ เหมาะแก่การเจริญเติบโตในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ชาวกรีกเป็นคนกลุ่มแรกที่ค้นพบออริกาโน่ แล้วนำมาใช้งานในด้านอาหารและสรรพคุณทางยา

พวกเขาเชื่อว่าสมุนไพรชนิดนี้ ถูกสร้างขึ้นมาโดยเทพีอะโฟรไดท์ (Aphrodite) หรือ วีนัส (Venus) เพื่อช่วยให้พวกเขามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ พวกเขาจึงตั้งชื่อสมุนไพรชนิดนี้เป็นภาษากรีกว่า Orosganos โดย Oros แปลว่า ภูเขา และ ganos แปลว่า ความสุข ดังนั้น Orosganos จึงแปลว่า ความสุขแห่งขุนเขา เพราะเติบโตมาบนภูเขาที่มีความอุดมสมบูรณ์

สำหรับชาวกรีก ออริกาโน่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความยินดีและความสุข โดยประเพณีโบราณของชาวกรีกในสมัยนั้นมักจะสวมมงกุฎที่ทำจากออริกาโน่ให้กับเจ้าบ่าวและเจ้าสาวในวันแต่งงาน เพราะเชื่อกันว่าสมุนไพรจะนำมาซึ่งพรแห่งความสุขแก่คู่รัก

การเดินทางสู่โลกกว้าง: จาก Orosganos สู่ Oregano

ในเวลาต่อมาออริกาโน่ก็เริ่มแพร่กระจายไปสู่ชาวโรมัน ซึ่งชาวโรมันหลงรักสมุนไพรชนิดนี้มาก เนื่องจากมีกลิ่นหอม และสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย จึงมีการเพาะปลูกกันในหลายพื้นที่ จนในที่สุดออริกาโน่ก็แพร่กระจายไปทั่วยุโรปและแอฟริกาเหนือในช่วงยุคกลาง ซึ่งในเวลานี้เองที่ Orosganos ถูกออกเสียงใหม่ว่า Oregano ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 20 ชาวอเมริกันก็ได้รู้จักออริกาโน่เป็นครั้งแรก เมื่อทหารที่กลับมาจากสงครามโลกครั้งที่ 1 นำออริกาโน่กลับมาจากอิตาลีด้วย ในภายหลังออริกาโน่จึงได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในอเมริกา

สรรพคุณทางยาและการใช้งานในครัว

ด้านสรรพคุณทางยา ชาวกรีกโบราณนิยมนำออริกาโน่มาใช้เพื่อบรรเทาอาการปวด กล้ามเนื้อกระตุก อาการจุกเสียด และขับสารพิษออกจากร่างกาย ในปัจจุบันออริกาโน่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่ามีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระและต้านเชื้อแบคทีเรีย เนื่องจากมีฟีนอลที่มีความเข้มข้นสูง มักใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อ เช่น โรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ และการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

นอกจากนี้น้ำมันออริกาโน่ยังถูกนำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดฟันและใช้เป็นยาธรรมชาติสำหรับรักษาสิวและโรคสะเก็ดเงินได้อีกด้วย

ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างออริกาโน่สดและออริกาโน่แห้ง คือความเข้มข้นของรสชาติและกลิ่น โดยออริกาโน่สดจะมีรสชาติและกลิ่นที่อ่อนกว่า เมื่อเทียบกับออริกาโน่แห้งที่มีความเข้มข้นมากกว่า ในด้านรสชาติ ออริกาโน่สดจะมีรสหวานเล็กน้อย มักใช้ในอาหารเมดิเตอร์เรเนียนและเม็กซิกัน นิยมนำไปใส่ในสลัด ซุป สตูว์ และอาหารประเภทเนื้อสัตว์

ในทางกลับกัน ออริกาโน่แห้งมีรสชาติเข้มข้นและกลิ่นที่ฉุนกว่า มักใช้ในอาหารอิตาเลียน โดยเป็นส่วนประกอบหลักในซอสพิซซ่าและซอสพาสต้า หรือโรยบนเนื้อย่างและสเต๊กต่าง ๆ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอม อย่างไรก็ตามเมื่อใช้ออริกาโน่แห้ง สิ่งสำคัญคือต้องใช้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะกลิ่นของออริกาโน่แห้งนั้นฉุนค่อนข้างรุนแรงอาจจะทำให้กลบกลิ่นของอาหารจนเสียสมดุลในด้านรสชาติ

Tags :

บทความที่เกี่ยวข้อง
Pie Floater (พายโฟลตเตอร์)
ทำความรู้จัก Pie Floater (พายโฟลตเตอร์) อาหารออสเตรเลียที่ได้รับความนิยมอย่างมากในรัฐเซาท์ออสเตรเลีย
Chiko Roll
ทำความรู้จัก Chiko Roll (ชิโกะโรล) อาหารว่างของประเทศออสเตรเลียที่มีลักษณะคล้ายปอเปี๊ยะทอดของจีน
Meatloaf
ทำความรู้จัก Meatloaf (มีทโลฟ)! อาหารจานคลาสสิกที่แฝงประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ