Blanche de Namur (บลองช์ เดอ นามูร์)
Blanche de Namur: เบียร์ White Beer ที่เปี่ยมด้วยเรื่องราวและมนต์เสน่ห์
ในโลกของเบียร์คราฟต์ที่มีความหลากหลายและเรื่องราวอันน่าสนใจ Blanche de Namur (บลองช์ เดอ นามูร์) โดดเด่นขึ้นมาในฐานะเบียร์ประเภท White Beer หรือ Wheat Beer จากประเทศเบลเยียม ที่ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดื่มรสเลิศเท่านั้น แต่ยังเป็นผลงานที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ความงาม สติปัญญา และบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของราชินี Blanche de Namur ผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงปีค.ศ. 13201363 เบียร์ชนิดนี้ผลิตโดยโรงเบียร์เก่าแก่ "Brasserie du Bocq" ซึ่งตั้งอยู่ในเขต Purnode แคว้น Wallonia ประเทศเบลเยียม และเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในเบียร์ White Beer ที่ดีที่สุดในโลก
ราชินี Blanche de Namur: ความงามที่ตราตรึงในประวัติศาสตร์
Blanche หรือ Blanka เป็นพระธิดาองค์โตของเคานต์ John ที่หนึ่งแห่งเมือง Namur แคว้น Wallonia ซึ่งเป็นตระกูลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชนชั้นสูงในเบลเยียมและราชวงศ์ฝรั่งเศส แม้ชีวิตก่อนอภิเษกสมรสของ Blanche จะไม่มีบันทึกอย่างเป็นทางการมากนัก แต่เรื่องราวของพระองค์ได้ถูกเล่าขานสืบต่อกันมาในรูปแบบของตำนานที่กล่าวขานถึงความงามอันโดดเด่น ซึ่งทำให้พระองค์เป็นที่หมายปองของชายหนุ่มมากมาย เคานต์ John ผู้เป็นบิดา ปรารถนาที่จะเลือกคู่ครองที่ดีที่สุดสำหรับพระธิดา จึงได้จัดการแข่งขันอัศวินขึ้น และหนึ่งในผู้เข้าร่วมการแข่งขันคือ พระเจ้า Magnus Eriksson แห่งนอร์เวย์และสวีเดน ผู้ซึ่งกำลังออกเดินทางเพื่อตามหาพระชายาที่เหมาะสม ด้วยความสามารถและความกล้าหาญ พระเจ้า Magnus สามารถชนะการแข่งขันและได้อภิเษกสมรสกับ Blanche ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มีบันทึกไว้อย่างเป็นทางการและน่าสนใจคือ การที่พระเจ้า Magnus ได้เดินทางไปสู่ขอ Blanche ถึง Namur ด้วยพระองค์เอง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่ปกติอย่างยิ่งสำหรับยุคสมัยนั้น สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความสำคัญที่พระองค์ทรงมีต่อราชินี Blanche พิธีราชาภิเษกของ Blanche จัดขึ้นในปีค.ศ. 1386 และสิ่งที่พิเศษยิ่งกว่านั้นคือ พระองค์ทรงได้รับตราประทับเป็นของตัวเอง โดยภาพเหมือนที่สลักบนตรานั้นแสดงให้เห็นพระองค์ทรงฉลองพระองค์คลุม ถือไม้เท้า และไม่มีผ้าคลุมพระเกศาที่แสดงถึงสถานะการแต่งงาน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสัญลักษณ์ที่พิเศษและไม่ธรรมดาสำหรับราชินีในยุคนั้นเช่นเดียวกัน
บทบาททางการเมืองและอิทธิพลทางวัฒนธรรมของราชินี
หลังจากได้เป็นราชินีแล้ว Blanche de Namur ทรงมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์การปกครองของทั้งนอร์เวย์และสวีเดน พระองค์มักติดตามพระเจ้า Magnus ไปในงานราชการต่างๆ และทรงมีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่สำคัญ บทบาทที่โดดเด่นที่สุดของพระองค์คือเรื่องราวการแยกตัวของนอร์เวย์และสวีเดน ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่พระโอรสทั้งสองพระองค์คือ Eric และ Haakon ยังทรงพระเยาว์ และมีการกำหนดไว้แล้วว่าทั้งสองพระองค์จะต้องแบ่งกันปกครองสวีเดนและนอร์เวย์ตามลำดับ นอกจากนี้ พระราชินี Blanche ยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าศักดินาของเมือง Tunsberg ในนอร์เวย์ และเมือง Lödöse ในสวีเดน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอำนาจและอิทธิพลที่พระองค์ทรงมีในยุคนั้น
ราชินี Blanche de Namur เป็นหนึ่งในราชินีจากยุโรปยุคกลางที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง พระองค์มีภาพลักษณ์ของการเป็นราชินีผู้งดงามที่ต้องจากบ้านเกิดไปตลอดกาลเพื่อไปเป็นผู้ปกครองในอีกประเทศหนึ่ง เรื่องราวในชีวิตของพระองค์เกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของสองประเทศ ดำเนินไปพร้อมกับคำร่ำลือด้านความงาม และมีอิทธิพลต่อเรื่องเล่า วัฒนธรรม ดนตรี และศิลปะต่างๆ ในแถบสแกนดิเนเวียอย่างมาก ตัวอย่างเช่น เพลงสำหรับเด็กที่มีชื่อเสียงในสวีเดนที่ชื่อว่า Ride, ride on my knee, the horse is called Blanka ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับ Albert Edelfelt ศิลปินยุควิคตอเรียนในการวาดภาพราชินี Blanche ขณะทรงเล่นกับพระโอรส ซึ่งกลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงและเป็นที่จดจำ
Brasserie du Bocq: โรงเบียร์แห่งประวัติศาสตร์และความเชี่ยวชาญ
เบียร์ Blanche de Namur ก็เป็นหนึ่งในผลผลิตทางวัฒนธรรมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวอันน่าประทับใจของราชินีผู้นี้ โดยโรงเบียร์ Brasserie du Bocq ซึ่งเป็นผู้ผลิตเบียร์ Blanche de Namur นั้นมีประวัติศาสตร์ยาวนานไม่แพ้กัน ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปีค.ศ. 1858 จากการที่ Martin Belot เจ้าของฟาร์มแห่งหนึ่งได้เริ่มทดลองทำเบียร์ด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกขึ้นในโรงนาของเขา ในช่วงแรก เขาจะทำเบียร์เฉพาะในฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงที่ว่างเว้นจากการทำการเกษตรอื่นๆ
ในเวลาต่อมา โรงเบียร์แห่งนี้ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจากการค้นพบแหล่งน้ำขนาดใหญ่ใน Purnode ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตเบียร์คุณภาพสูง ทำให้ Brasserie du Bocq กลายเป็นโรงเบียร์อย่างเป็นทางการและจดทะเบียนเป็นบริษัทในปีค.ศ. 1949 ปัจจุบัน อาคารดั้งเดิมของโรงเบียร์ยังคงเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ และการผลิตเบียร์ยังคงดำเนินงานในรูปแบบธุรกิจครอบครัวจนถึงทุกวันนี้ Brasserie du Bocq ได้ผลิตเบียร์ขึ้นมาหลายแบรนด์ โดยเบียร์ที่เก่าแก่ที่สุดและเป็นที่รู้จักคือ Gauloise Brune ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความเชี่ยวชาญและประสบการณ์อันยาวนานในการผลิตเบียร์ของโรงเบียร์แห่งนี้
Blanche de Namur: เบียร์ White Beer ระดับโล ก
ในปีค.ศ. 1988 Brasserie du Bocq ได้เปิดตัว Blanche de Namur เพื่ออุทิศแก่ความงาม ความอ่อนโยน และไหวพริบของพระราชินี Blanche de Namur เบียร์ชนิดนี้มีพื้นฐานเป็น White Beer หรือ Wheat Beer ของเบลเยียม ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัวที่โดดเด่น คือเป็นเบียร์สีอ่อนและขุ่น บางครั้งอาจใกล้เคียงสีขาว มีฟองมากและนุ่มฟูคล้ายเมฆ พร้อมกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของเมล็ดผักชีและเปลือกส้ม รสชาติของ Blanche de Namur มีความกลมกล่อม นุ่มนวล และสดชื่น มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 4.5% ABV (Alcohol by Volume) ซึ่งถือเป็นระดับที่เหมาะสมแก่การดื่มในทุกโอกาส ด้วยเสน่ห์ของเบียร์เบลเยียมที่ผสานเข้ากับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันน่าหลงใหล ทำให้เบียร์ชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง
ความสำเร็จของ Blanche de Namur ได้รับการยืนยันด้วยรางวัลระดับโลกมากมายระหว่างปี 2008 - 2013 โดยรางวัลที่สำคัญที่สุดได้แก่ รางวัล Best Wheat Beer ในงาน World Beer Award ปีค.ศ. 2009 และรางวัลเหรียญทอง Best Belgian Style Witbier ในงาน World Beer Award ปีค.ศ. 2012 ในปัจจุบัน Blanche de Namur ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งใน White Beer ที่ดีที่สุดในโลก และเป็นเบียร์ที่โด่งดังที่สุดของโรงเบียร์ Brasserie du Bocq ตลอดกาล
นอกจากรสชาติแบบดั้งเดิมที่คลาสสิกแล้ว Blanche de Namur ยังมีการวางจำหน่ายในรูปแบบเบียร์รสผลไม้ที่หลากหลาย เช่น Rosee (รสราสเบอร์รี่), Apple (รสแอปเปิล) และ Lime (รสไลม์) เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ชื่นชอบความแปลกใหม่และสดชื่น นอกจากนี้ ยังมีเบียร์ขมยอดนิยมอย่าง IPA (India Pale Ale) ภายใต้แบรนด์เดียวกันอีกด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมและความสามารถในการปรับตัวของโรงเบียร์ Brasserie du Bocq ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย โดยยังคงรักษามาตรฐานคุณภาพและความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม