Gingerbread (ขนมปังขิง)
มีใครเคยสงสัยกันบ้างไหมว่าทำไมเทศกาลคริสต์มาสถึงต้องกิน ขนมปังขิง (Gingerbread) ตามความเชื่อของคนในอดีต ขนมปังขิงไม่ได้เป็นแค่ขนมทานเล่นธรรมดาที่นิยมทานกันเท่านั้น แต่ขนมปังขิงยังถือเป็น สัญลักษณ์แห่งความโชคดี ในวันคริสต์มาสอีกด้วย ซึ่งในยุโรปแทบจะทุกบ้านมักจะกินขนมชนิดนี้เพื่อเป็นสิริมงคล จนเรียกได้ว่าเป็นขนมที่เกิดมาคู่กับคริสต์มาสเลยค่ะ
ทำความรู้จักกับขนมปังขิง
ขนมปังขิง (Gingerbread) ถือเป็นคุกกี้คริสต์มาสในยุคแรกๆ ที่ได้รับความนิยม โดยส่วนใหญ่ที่เราเห็นกันบ่อยๆ มักจะนิยมปั้นเป็นตุ๊กตาต่างๆ มีส่วนผสมเป็นเครื่องเทศหลากหลายชนิด ทั้ง ผงขิง อบเชย กานพลู ลูกจันทน์เทศ และน้ำผึ้งหรือน้ำตาล เป็นต้น กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์และรสชาติเผ็ดร้อนเล็กน้อยจากขิง ทำให้ขนมชนิดนี้เป็นที่ชื่นชอบของหลายๆ คน
ประวัติศาสตร์ของขนมปังขิง
ในปี ค.ศ. 992 พระชาวอาร์เมเนีย ที่เดินทางมาอาศัยยังประเทศฝรั่งเศส ได้สอนวิธีการทำขนมปังขิงให้กับชาวคริสเตียน แต่ในยุโรปสมัยนั้นขิงเป็นเครื่องเทศที่หายากมาก จนกระทั่ง ศตวรรษที่ 11 นักรบคูเสด ได้นำขิงกลับมาจากประเทศจีน แล้วปลูกกันอย่างแพร่หลายทั่วยุโรป ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ขิงจึงเป็นเครื่องเทศที่มีราคาจับต้องได้สำหรับคนทั่วไปมากขึ้น และการทำขนมปังขิงก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งในตอนแรกขนมปังขิงแบบยุโรปนั้นมักจะทำเป็น รูปทรงของเทวดาและนักบุญ
ต่อมาในช่วง ศตวรรษที่ 13 ขนมปังขิงเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในหลายประเทศทั่วยุโรป ทั้งอังกฤษ เยอรมนี สเปน โปแลนด์ และสวีเดน โดยแม่ชีชาวสวีเดนมักจะอบขนมปังขิงทานเพื่อช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย เนื่องจากขิงเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของสรรพคุณทางยา
ใน ยุโรปยุคกลาง ขนมปังขิงเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมในงานเทศกาล อีกทั้งยังมีการจัดงานแสดงสินค้าของขนมปังขิงโดยเฉพาะอีกด้วย เป็นที่รู้จักกันในชื่อ Gingerbread Fairs (งานแสดงขนมปังขิง) ซึ่งภายในงานจะมีขนมปังขิงหลากหลายรูปแบบ อาทิเช่น ขนมปังขิงรูปสัตว์ ดอกไม้ต่างๆ และขนมปังขิงรูปร่างคล้ายคน (Gingerbread Man) ที่ได้รับความนิยมมาก ซึ่งมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า เริ่มทำในสมัย สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ (Queen Elizabeth I) เพื่อมอบให้แก่บุคคลสำคัญ
หลังจากขนมปังขิงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ในทุกช่วงคริสต์มาสผู้คนจึงมักจะทำขนมปังขิงที่เป็นสัญลักษณ์ประจำเทศกาลกันอีกด้วย อาทิเช่น ซานตาคลอส กวางเรนเดียร์ ต้นคริสต์มาส และเกล็ดหิมะ โดยมักจะเสิร์ฟเป็นอาหารจานสุดท้าย หลังจากทานอาหารมื้อค่ำเสร็จแล้ว เพราะเชื่อว่าการทานขนมปังขิง ภายหลังจากอิ่มอาหาร ขิงจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี
ความเชื่อเกี่ยวกับความโชคดีของขนมปังขิง
ชาวยุโรปมีความเชื่อว่าเราสามารถ ขอพรจากขนมปังขิง ได้ โดยการวางขนมปังขิงไว้บนฝ่ามือแล้วอธิษฐาน จากนั้นใช้นิ้วหัวแม่โป้งข้างขวากดตรงกลางคุกกี้ ถ้าคุกกี้แตกออกเป็น 3 ส่วน ให้รีบกินให้หมดทันที โดยไม่พูดจากับใคร แล้วความปรารถนาที่คิดไว้จะเป็นจริง ส่วนอีกความเชื่อหนึ่งคือ ผู้หญิงชาวอังกฤษที่ยังไม่ได้แต่งงาน จะทานขนมปังขิง เพื่อขอโชคให้ได้สามี อีกด้วย ซึ่งจากความเชื่อต่างๆ ที่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับความโชคดี ขนมปังขิงจึงกลายเป็นขนมที่นิยมทานเพื่อความเป็นสิริมงคลในวันคริสต์มาสนั่นเอง
Gingerbread Houses: บ้านขนมปังขิงอันแสนหวาน
ประเพณีการทำ บ้านขนมปังขิง (Gingerbread Houses) เริ่มขึ้นในเยอรมนีในช่วงต้นปี 1800 โดยผู้ริเริ่มการทำคนแรก ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเทพนิยายของ พี่น้องกริมม์ เรื่องฮันเซลกับเกรเทล (Hansel and Gretel) ซึ่งในเรื่องกล่าวว่า มีเด็กสองคนถูกทอดทิ้งในป่า แล้วตกอยู่ในเงื้อมมือของแม่มดกินคนที่อาศัยอยู่ในบ้านที่ทำจากขนมปังขิง เค้ก และลูกกวาด แม่มดตั้งใจจะทำให้ฮันเซลอ้วนขึ้นโดยการให้กินขนมปัง ก่อนที่แม่มดจะกินเขาในที่สุด หลังจากหนังสือเล่มนี้ได้รับการตีพิมพ์ คนทำขนมปังชาวเยอรมันก็เริ่มอบขนมปังขิงแล้วทำเป็นรูปบ้านตกแต่งอย่างสวยงามตามเทพนิยาย ซึ่งในที่สุดสิ่งเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในช่วงคริสต์มาสค่ะ