Edible Art (ศิลปะกินได้)
ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ศิลปะมีรูปแบบมากมายนับไม่ถ้วน ก้าวข้ามเอกลักษณ์แบบดั้งเดิมและเปิดรับช่องทางการแสดงออกที่แปลกใหม่ ดังนั้น การหลอมรวมอาหารและความคิดสร้างสรรค์จึงกลายเป็นผืนผ้าใบอันงดงามสำหรับเชฟในการแต่งแต้มจินตนาการของพวกเขาลงไปบนจาน เพราะทุกวันนี้การทำอาหารไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของรสชาติและเนื้อสัมผัสเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการสร้างประสบการณ์อันเย้ายวนให้เหล่านักชิมทั้งหลายอีกด้วย
รากฐานของศิลปะที่กินได้ในอารยธรรมโบราณ
เรื่องราวของ ศิลปะที่กินได้ (Edible art) นั้นมีรากเหง้าย้อนไปถึงอารยธรรมโบราณที่ซึ่งสุนทรียภาพในการทำอาหารมีบทบาทสำคัญในงานเลี้ยงและพิธีกรรมต่าง ๆ โดยอาหารได้กลายมาเป็นเครื่องมือในการแสดงออกทางศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นประติมากรรมน้ำตาลอันประณีตของอาณาจักรไบแซนไทน์ อาหารที่หรูหราในงานเลี้ยงยุคเรอเนซองส์ของฝรั่งเศส รวมไปถึงศิลปะการแกะสลักผักหรือผลไม้ที่เรียกว่า มูกิโมโนะ (Mukimono) ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ได้ให้ความสำคัญกับความงามของอาหารมานานแล้ว
เชฟคือศิลปิน: การเลือกสรรวัตถุดิบและสร้างความกลมกลืน
ในโลกของการทำอาหาร เชฟก็เปรียบเสมือนศิลปินที่คอยแต่งแต้มความงามอันเป็นเอกลักษณ์ลงไปบนจานเพื่อสร้างความน่าดึงดูด เพราะการเลือกวัตถุดิบลงไปในจานก็เหมือนกับศิลปินที่เลือกชุดสีสำหรับภาพวาด เนื่องจากวัตถุดิบแต่ละอย่างมีรสชาติ กลิ่น และรูปลักษณ์ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น การนำสิ่งที่ต่างกันมารวมอยู่ในที่เดียวแล้วสร้างความกลมกลืน จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากที่ต้องอาศัยทั้งความรู้ ทักษะ และความคิดสร้างสรรค์
Entremets: จุดสูงสุดของศิลปะอาหารในยุคเรอเนซองส์
ในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ (Renaissance) ราชสำนักฝรั่งเศสได้หลอมรวมเทคนิคหลายอย่างนำไปสู่การพัฒนา Entremets (อองเทรอเมต์) อาหารหรูหราที่สร้างสรรค์อย่างวิจิตรบรรจงที่แสดงถึงทักษะการทำอาหารของเชฟ ซึ่งมีกระบวนการทำที่ซับซ้อนเป็นอย่างมากแตกต่างจากเค้กทั่วไป
Entremets จะถูกประกอบขึ้นมาหลายชั้น ซึ่งแต่ละชั้นก็จะทำมาจากขนมที่หลากหลาย เช่น เค้ก มาร์ซิปัน พานาคอตต้า มูส และอื่น ๆ ดังนั้น วิธีการทำจึงมีความซับซ้อน เพราะต้องคำนึงถึงความเข้ากันได้ของสีสัน รสชาติ และเนื้อสัมผัส รวมไปถึงต้องออกแบบให้มีรูปลักษณ์สวยงามน่าสนใจ การทำขนมประเภทนี้เป็นการเปิดกว้างทางศิลปะเป็นอย่างมาก เพราะเชฟสามารถสร้างความแตกต่างของแต่ละชั้นได้อย่างสนุกสนานและท้าทายความสามารถ จนเกิดเป็นอาหารฟิวชั่นที่ผสมผสานรสชาติ เทคนิค และส่วนผสมจากวัฒนธรรมต่าง ๆ ทำให้การรับประทานอาหารกลายเป็นประสบการณ์ที่หลากหลายทางประสาทสัมผัส
ศิลปะกินได้ในยุคดิจิทัล: ความงามที่ต้องตา
ในยุคดิจิทัล แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Instagram, Pinterest และอื่น ๆ ได้กลายเป็นแกลเลอรี่สำหรับศิลปินด้านอาหาร เพื่อแสดงผลงานศิลปะที่กินได้ ทำให้ปัจจุบันความสวยงามของอาหารมีความสำคัญพอ ๆ กับรสชาติ เนื่องจากเชฟจะต้องสนองความอยากอาหารทางสายตาให้กับเหล่านักชิมผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ รูปภาพที่สวยงามของอาหารจึงเป็นสิ่งกระตุ้นความสนใจและสร้างแรงบันดาลใจได้เป็นอย่างดี
ความสามารถที่ไร้ขอบเขตของเชฟ: ผู้สร้างสรรค์ที่ไม่หยุดนิ่ง
ศิลปะที่กินได้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถอันไร้ขอบเขตของเชฟในการพัฒนา ปรับเปลี่ยน และสร้างสรรค์ เพราะถึงแม้เวลาจะผ่านไป เชฟทั่วโลกก็ยังคงมีความเป็นศิลปินในตัวเอง ทำให้ทุกวันนี้เรามีอาหารที่ทั้งอร่อยและสวยงามให้ได้ลิ้มลอง ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างศาสตร์แห่งการทำอาหารและศิลปะแห่งการนำเสนอได้อย่างลงตัว